PRM ส่งซิกรายได้ปี 61 โตสนั่น! หลังฮุบ “Big Sea” โบรกฯ แนะ “ซื้อลงทุนระยะยาว”
PRM ส่งซิกรายได้ปี 61 โตสนั่น! หลังฮุบ “Big Sea” โบรกฯ แนะ "ซื้อลงทุนระยะยาว" เคาะราคาเป้าหมาย 16.10 บาท/หุ้น
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ของบริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM หลัง PRM ได้ลงนามสัญญาเข้าซื้อหุ้น บริษัท บิ๊ก ซี จำกัด (Big Sea) ผู้ประกอบธุรกิจขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปทางทะเลรายใหญ่จำนวน 360,000 หุ้น รวมมูลค่าการซื้อขายไม่เกิน 2.9 พันล้านบาท
โดยมีสัดส่วนการซื้อขายล็อตแรก 70% จำนวน 252,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 70% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดใน Big Sea จากบริษัท ทีดับบลิวที จำกัด โดยมีมูลค่ารวมไม่เกิน 1,400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำธุรกรรมแล้วเสร็จและรับรู้รายได้ทันทีภายในไตรมาส 2/61
ส่วนครั้งที่ 2 จะทยอยซื้อในส่วนที่เหลืออีก 108,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 30% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดจาก ทีดับบลิวเอทีที ลิมิเต็ด (TWATT Limited) โดยทยอยเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 10% ต่อปี รวม 3 ปี และคาดว่าการซื้อขายหุ้นในช่วงที่ 2 จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/64 ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 1,500 ล้านบาท
สำหรับการในการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ PRM มีส่วนแบ่งการตลาดการขนส่งในประเทศเป็นอันดับ 1 โดยคิดเป็นสัดส่วน 49% ของส่วนแบ่งการขนส่งตลาดในประเทศทั้งหมด
โดย นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRM เปิดเผยว่า การเข้าซื้อกิจการ Big Sea คาดว่าจะส่งผลให้แนวโน้มรายได้ของบริษัทในปี 61 จะสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5 พันล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีก่อน เพราะเป้าหมายเดิมยังไม่ได้รวมรายได้ของ Big Sea ซึ่งดีลดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกองเรือขนส่งเพิ่มขึ้นในสิ้นปีนี้อยู่ที่ 27 ลำ จากปัจจุบันบริษัทมีกองเรือที่เป็นของบริษัทเองและเช่ารวม 14 ลำ โดยปีนี้ Big Sea มีกองเรือ 13 ลำ และจะเพิ่มอีก 1 ลำในเดือน มี.ค.62
ส่วนอัตรากำไนสุทธิยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอีกราว 10% จากปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิ 15.30% เนื่องจากธุรกิจเดินเรือขนส่งของ Big Sea มีอัตรากำไรสูงกว่าเมื่อเทียบกับบริษัท เพราะเป็นการขนส่งโดยเรือขนาดเล็กที่ต้นทุนและค่าไช้จ่ายไม่สูงมากนัก จึงจะส่งผลบวกต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้
ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 ของบริษัทคาดว่าจะเห็นการเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 และช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากรับรู้ผลการดำเนินของของ Big Sea เข้ามา และรับผลบวกจากการปรับพอร์ตกองเรือที่หันมาเน้นเรือเล็กเพิ่มขึ้น หลังจากที่เรือใหญ่อย่าง Aframax มีภาระขาดทุน
พร้อมกับการปรับสัญญาเช่าเรือที่เป็นการขนส่งรายเที่ยว (Spot) มาเป็นสัญญาระยะยาวและลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง (Time Charter) เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะต้นทุนพลังงาน
ประกอบกับการมีกองเรือใหม่ของ Big Sea เข้ามาเสริม เป็นปัจจัยหนุนให้ผลการดำเนินงานเริ่มเห็นการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง
นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น PRM ให้ราคาเป้าหมาย 16.10 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองบวกต่อแผนการเข้าซื้อผู้เล่นเบอร์ 2 ของตลาดเรือขนส่งน้ำมันไทย เพราะนอกจากจะทำให้ PRM เป็นเบอร์ 1 แบบเด็ดขาดบนส่วนแบ่งปริมาณขนส่งน้ำมัน 49% แล้ว ยังจะเพิ่มอำนาจต่อรอง และลดการแข่งขันราคาในอุตสาหกรรมได้อีกด้วย
โดยการซื้อที่ไม่ได้ก่อให้เกิดภาระทางการเงินมากมายนี้ คาดจะเกิดการปรับประมาณการกำไรปีนี้ 7-10% ยังคาดจะเกิด upside ต่อราคาเหมาะสมได้อีก 0.7-1.9 บาท/ หุ้น ระหว่างปี 2561-62 อีกด้วย ระหว่างการทำดีลนี้ คงประมาณการ และคำแนะนำ “ซื้อลงทุนระยะยาว” ไว้ก่อน ราคาเหมาะสม 16.10 บาท/ หุ้น อิง DCF
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุในบทสิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น PRM ให้ราคาเป้าหมาย 11.50 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองที่ดีต่อ PRM หลังจากการเข้าซื้อหุ้น Big Sea ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับ 2 จะเข้ามาช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและอำนาจการต่อรอง รวมทั้งเป็นการเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจขนส่งซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของธุรกิจอื่นๆ
รวมถึงบริษัทมีการปรับเปลี่ยนแต่ละธุรกิจให้สอดคล้องกับตลาดมากยิ่งขึ้น โดยชะลอการขยายกองเรือ Aframax และ FSU ที่มีความต้องการของตลาดชะลอตัวในช่วงนี้ออกไปก่อน และ คาดจะเห็นความสามารถในการทำกำไรจะกลับมาอยู่ในระดับสูงได้จากการเปลี่ยนแผนธุรกิจ
ทั้งนี้ PRM ได้ประกาศเข้าซื้อหุ้นบริษัท Big Sea ด้วยงบลงทุนรวมไม่เกิน 2,900 ล้านบาท โดยในปี 61 PRM จะซื้อหุ้นจำนวน 70% ด้วยเงินจำนวน 1,400 ล้านบาท ใช้เงินจากการกู้ยืม 1,000 ล้านบาทและ 400 ล้านบาทมาจากทุน และหุ้นส่วนที่เหลืออีก 30% จะทยอยซื้อให้ครบภายใน 3 ปี (Earn-out period) ซึ่งมีมุมมองที่ดีต่อดีลนี้ของ PRM จากจำนวนเรือขนส่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26 ลำภายในปีนี้ จากเดิม 13 ลำ
รวมถึงเพิ่มส่วนแบ่งตลาดมาอยู่ที่เกือบ 50% จากปัจจุบัน 33% และได้ลูกค้ารายใหม่นอกเหนือจากพอร์ตเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BCP รวมทั้งการเข้าซื้อดังกล่าวเป็นการสร้างอำนาจการต่อรองได้เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการายใหญ่
นอกจากนี้ มองว่ามูลค่าการเข้าซื้อดังกล่าวเหมาะสมคิดเป็นเพียง PER 16 เท่าอิงจากคาดการณ์กำไรของ Big Sea ในปี 63 หรือคิดเป็น PER 13 เท่าปี 60 สำหรับผลการดำเนินงานของ Big Sea ในปี 60 ซึ่งไม่แพงเมื่อเทียบกับ PER ที่ 40 เท่าในปี 60 และ PER 19 เท่าในปี 63 ของ PRM และของ Sector ที่ PER 28 เท่า
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่แย่สำหรับทุกธุรกิจของ PRM สำหรับปีนี้คาดจะเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นและมีมุมมองที่ดีต่อกลยุทธ์ของบริษัทที่จะมุ่งเน้นธุรกิจขนส่งน้ำมันทางเรือในประเทศ (Trading) เนื่องจากมองว่าบริษัทมีความชำนาญและเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดนี้ และอยู่ในตลาดที่เติบโตเฉลี่ย 2-3% ต่อปีและมีความต้องการต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นของ Big Sea และการไม่มีขาดทุนจาก Aframax หลังจากปรับสัญญาเป็น time charter ในขณะที่ธุรกิจเรือ FSU อยู่ในช่วงปรับเปลี่ยน โดยจะขายเรือ FSU 2 ลำและปรับลูกค้าให้มาใช้เต็มลำเรือเดิมช่วยลดค่าใช้จ่ายลง และสำหรับธุรกิจ FSO ล่าสุดบริษัทได้สัญญาใหม่จากลูกค้ารายใหญ่ซึ่งคาดจะเห็นรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป