TNR ส่งซิกธุรกิจปี 61 สดใส อัพเป้ายอดขายทะลุ 30% ฟากโบรกฯแนะ “ซื้อ” ชี้กำไรโต 60%
TNR ส่งซิกธุรกิจปี 61 สดใส อัพเป้ายอดขายทะลุ 30% ฟากโบรกฯแนะ “ซื้อ” ชี้กำไรโต 60% เคาะราคาเป้าหมาย 22.20 บาท
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับ บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR หลังบริษัทเปิดเผยว่าได้เข้าซื้อสิทธิการขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นแบรนด์ PLAYBOY ระยะเวลา 10 ปี ฟากผู้บริหารปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายในปีนี้เพิ่มเป็นเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากเดิมที่ตั้งไว้ 20%
ด้านนักวิเคราะห์ บล. เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TNR ในราคาเป้าหมาย 22.20 บาทต่อหุ้น โดยมองว่าแม้ในปี 60 คาดกำไรหด 16.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะพลิกโต 58.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนในปี 61 ด้วยแผนขยายฐานลูกค้า OEM ในต่างประเทศและแผนเพิ่มสัดส่วนยอดขายของกลุ่มธุรกิจสินค้า Own Brand ทั้ง ONETOUCH และNiptex อีกทั้งราคาหุ้นยังมีUpside 44.5% และคาดให้ Div.Yield จากผลการดำเนินงานปี 60 ที่1.4%
โดยราคาหุ้น TNR ปิดตลาดวานนี้ (10 เม.ย.61) ที่ระดับ 18.20 บาท ลดลง 1 บาท หรือ 5.21% สูงสุดที่ระดับ 19.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 18.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 26.10 ล้านบาท
ด้านนายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเป้าหมายยอดขายในปีนี้เพิ่มเป็นเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากเดิมที่ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% หลังเข้าซื้อสิทธิการขายและทำการตลาดถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นแบรนด์ PLAYBOY ต่อจาก United Medical Devices, LLC (UMD) โดยมีระยะเวลา 10 ปี และต่อสัญญาอัตโนมัติทุกๆ ปี
อนึ่ง ในปี 60 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 1.29 พันล้านบาท และคาดว่ายอดขายในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 61-63) จะสามารถเติบโตได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี
สำหรับยอดขายจาก PLAYBOY บริษัทจะเริ่มรับรู้เข้ามาตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นไป ซึ่งในช่วงหลังจากการเซ็นสัญญาซื้อสิทธิ PLAYBOY บริษัทต้องเตรียมแผนการทำการตลาดใหม่ และเตรียมจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ขึ้นมาเพื่อบริหารแบรนด์ PLAYBOY โดยจะเป็นการจัดตั้งบริษัทย่อยในต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาประเทศที่จะจัดตั้งในหนึ่งประเทศตามความเหมาะสมและประสิทธิภาพของการดำเนินงาน เช่น สหรัฐฯ หรือ ฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปของการจัดตั้งบริษัทย่อยดังกล่าวได้ภายใน 1-2 เดือนนี้
“ตอนนี้กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะตั้งออฟฟิศที่ประเทศใดดี ซึ่งเราดูอยู่ที่ LA เพราะมีดีลเลอร์เจ้าใหญ่อยู่ที่นั่น และเราก็ทำการขายสินค้าเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็คงได้ข้อสรุปไม่เกินเดือนพ.ค.นี้” นายอมร กล่าว
ทั้งนี้ การทำการตลาดของแบรนด์ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นตรา PLAYBOY จะเน้นทำการตลาดและการขายในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในช่วงแรกจะเข้าไปรุกขยายตลาดในสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของบริษัทที่จะเข้าไปขยายฐาน โดยการที่เข้าไปต่อยอดจากลูกค้ารายเดิม และหาลูกค้ารายใหม่เพิ่มเข้ามา
ขณะเดียวกันยังวางแผนขยายตลาดในประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น โดยการหาลูกค้ารายใหม่ๆ เข้ามาแทนลูกค้ารายเดิม อีกทั้งในระยะต่อไปจะเป็นการขยายไปในเอเชียประเทศอื่นๆ และในยุโรป ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าของบริษัทให้ใหญ่ขึ้น และทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักในระดับโลก
“แบรนด์ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น PLAYBOY เราก็คงใช้เวลาในการเตรียมตัวไนการทำการตลาดอย่างจริงจังตลอดทั้งปีนี้ และจะเริ่มรุกตลาดจริง ๆ ในปี 62 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยให้เราขยายไปสู่ตลาดใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ จีน และยุโรป ที่เป็นกลุ่มประเทศเป้าหมาย เรามองว่าดีลนี้มีความคุ้มค่า เพราะ PLAYBOY เป็นสัญลักษณ์ที่ทุกคนทั่วโลกรู้จัก มีผลิตภัณฑ์สินค้าที่หลากหลาย และเป็นแบรนด์ระดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งเรามีความมุ่งมั่นที่อยากปั้นแบรนด์ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น PLAYBOY ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก แม้ว่าจะต้องใช้เวลา 5-10 ปี” นายอมร กล่าว
อีกทั้งในปี 62 บริษัทเตรียมเปิดตัวถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ 1 ชนิด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งจะเป็นการพัฒนาถุงยางอนามัยที่มีความแปลกใหม่และเพิ่มความหลากหลายของสินค้าเพิ่มขึ้น
“บริษัทเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ PLAYBOY ให้กับลูกค้าของ UMD มาเป็นเวลานาน รวมทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY ในประเทศไทย ทางบริษัทจึงมองเห็นการเติบโตและโอกาสในการขยายตลาดในระดับโลก จึงได้เข้าเจรจากับทาง UMD เพื่อเข้าซื้อสิทธิในสัญญา และเข้าเจรจากับทาง Playboy Enterprises International, Inc. ประเทศสหรัฐฯ
ซึ่งทาง Playboy ได้ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นกับทางบริษัท ทั้งในด้านคุณภาพการผลิตและการตลาด จึงได้ตัดสินใจให้ความยินยอมในการโอนสิทธินี้กับทางบริษัท โดยการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้จะทำให้ TNR มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลังจากได้แบรนด์ PLAYBOY เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีแบรนด์สินค้าของตนเองคือ ONETOUCH(TM) และ Niptex(TM)” นายอมร กล่าว
ขณะที่ นายสุวัฒน์ สุขลาภวณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน TNR เปิดเผยว่า การเข้าซื้อสิทธิการขายและการทำตลาดแบรนด์ PLAYBOY มูลค่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯนั้น บริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดของบริษัทและเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งแบ่งการชำระเป็นจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะชำระในปีนี้ หลังจากการเซ็นสัญญาโอนสิทธิ และอีก 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯจะชำระอีก 1 ปีข้างหน้า โดยบริษัทประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 15% และคาดว่าจะคืนทุนได้ไนช่วง 5 ปี
นอกจากนี้บริษัทยังคาดว่าการได้สิทธิดังกล่าวจะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตของยอดขายจากการขยายฐานลูกค้าไปในต่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับช่วยสนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทให้เพิ่มขึ้นหลังจากการทำการตลาดแบรนด์ PLAYBOY เต็มที่ในปี 62 เป็นต้นไป
โดยแบรนด์ PLAYBOY มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าแบรนด์ ONETOUCH (TM) ที่ 50% และสูงกว่าอัตรากำไรขั้นต้นจากการรับจ้างผลิตถุงยางอนามัย (OEM) ที่ 30% ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทสูงขึ้นในอนาคต แม้ว่าในปีนี้บริษัทยังคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะยังทรงตัวเท่ากับปีก่อนที่ 23% เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าและความผันผวนของต้นทุนราคาน้ำยางพารา
ขณะที่ในช่วง 1-3 ปีนี้ บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนขยายกำลังการผลิต เนื่องจากบริษัทยังมีกำลังการผลิตที่พอเพียง โดยปีก่อนได้ใช้กำลังการผลิตไป 65% จากกำลังการผลิตทั้งหมด 1.5 พันล้านชิ้น/ปี และปีนี้จะใช้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
ส่วนแนวโน้มยอดขายในช่วงไตรมาส 1/61 มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้คำสั่งซื้อถุงยางอนามัยกลับมาดี