โบรกฯฟันธง! 17 หุ้นเด่นลงทุนเดือนพ.ค.เน้นรายตัวงบฯ Q1 หรู-ปัจจัยบวกหนุน
โบรกฯฟันธง! 17 หุ้นเด่นลงทุนเดือนพ.ค.เน้นรายตัวงบฯ Q1 หรู-ปัจจัยบวกหนุน อาทิ IVL, MINT, ERW, AMATA, WHA, QH, AP, ADVANC, TRUE, KCE, HANA, SAWAD, JMT, และ MTLS
เข้าสู่การลงทุนเดือนพฤษภาคม “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุน พร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอโดยอาศัยบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ 4 แห่ง ประกอบด้วย บล.บัวหลวง,บล.เอเชีย เวลท์ และบล.ทรีนีตี้ โดยนักวิเคราะห์มองกลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้ว่า SET Index จะคลายกังวลกับการประชุมเฟด วันที่ 2-3 พ.ค.นี้ เมื่อเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยและไม่ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดกังวล
ส่วนปัจจัยในประเทศเชื่อว่าการประกาศผลการดำเนินงาน และคาดการณ์กำไรหุ้นรายตัวจะส่งผลบวก/ลบ หุ้นรายตัวดังนั้นในเดือนนี้เลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเป็นหลัก โดยกลุ่มหุ้นที่โบรกเกอร์แนะนำมีทั้งหมด 12 ตัว อาทิ IVL, MINT, ERW, AMATA, WHA, QH, AP, ADVANC, TRUE, KCE, HANA, SPALI,EA,BCPG,SAWAD, JMT, และ MTLS ตามบทวิเคราะห์ดังนี้
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดตลาดจะคลายกังวล กับการประชุมเฟด วันที่ 2-3 พ.ค.นี้ เมื่อเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ยและไม่ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดกังวล ส่วนปัจจัยในประเทศเชื่อว่า การประกาศผลการดำเนินงาน และคาดการณ์กำไรหุ้นรายตัวจะส่งผลบวก/ลบ หุ้นรายตัวคละกันไป ในสัปดาห์นี้ แต่ทิศทางการลงทุนโดยรวมเชื่อว่าจะเริมดีขึ้นกว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวด์ทางเทคนิคหลังลดลงติดต่อกันมา 5 วันทำการ
-คาดเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ย 3 พ.ค: คาดว่าผลตอบแทนพพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่ทะยานขึ้นรอบนี้ ไม่ได้มีผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในวันที่ 3 พ.ค. นี้ และเฟดจะไม่มีการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแบบก้าวร้าว อย่างที่ตลาดตีความ โดยปกติในการประชุมเฟด ที่มีการให้แนวโน้มดอกเบี้ย (Dot Plot) จะไม่เกิดในช่วงระหว่างไตรมาส ซึ่งเมื่อเดือน มี.ค.เฟดเพิ่งจะให้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้งในปีนี้ไป การประชุมครั้งนี้จึงไม่คิดว่าจะมีการให้แนวโน้มใดๆทั้งสิ้น
-ภายในเดือน พ.ค.-มิย.นี้ Upside หุ้นไทยยังคงมีหวัง ตจากประเด็นการเลือกตั้ง หากศาล รธน.ตีความ ที่มา สส.สว.ไม่ขัด รธน.
-กลางเดือน พ.ค. จะมีการเปลี่ยนแปลงหุ้นเข้าออก และ น้ำหนักในดัชนีฯ MSCI Thailand อีกครั้งทั้ง Standard index หุ้นใหญ่ และ Mid-Small Cap index หุ้นกลางเล็ก
มั่นใจว่าบริษัทในกลุ่ม Retail Finance ที่ cover (SAWAD, MTLS, KTC, JMT, ECL, และ TK) จะมีกำไรที่เติบโตได้ดีในปีนี้ จากสินเชื่อที่เติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้มองว่าเกณฑ์คุม non-bank ใหม่จะมีผลกระทบต่อ SAWAD, MTLS, KTC, JMT, และ ECL ไม่มากนัก คงคำแนะนำ OVERWEIGHT ในกลุ่มนี้ และเลือก top pick เป็น SAWAD, JMT, และ MTLS สำหรับคาดการณ์กำไร 1Q18
บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นเริ่มเข้าเดือน พ.ค. ตลาดหุ้นเริ่มเผชิญความท้าทายเมื่อการประกาศผลประกอบการของ บจ.ทยอยออกมา และตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในไตรมาส 1/61 เริ่มลดความร้อนแรง อาจเริ่มมีกระแส “SeII in May and Go Away” แต่มองว่าในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ Commodity RaIIy คาดว่าไม่เกิด SeII in May and Go Away เหมือนปีก่อน ๆ
ยังแนะนำเข้าซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและไฟฟ้าหุ้นแนะนำในสัปดาห์นี้ เลือก SPALI, EA, BCPG จับตาการประชุม FOMC 1-2 พ.ค.นี้ คาดว่าผ่านไปโดยยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย fed funds rate รอบนี้
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคมจะมีความน่าสนใจที่ลดลง หลังมีปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้นล่าสุด และมีอิทธิพลต่อทิศทางตลาด ได้แก่ การปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯ โดยรุ่นอายุ 10 ปีขึ้นมายืนเหนือ 3% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2554 โดยการปรับตัวขึ้นมาของ Bond Yield สหรัฐฯ นี้ ทำให้ Earning yield gap (ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนหุ้นไทยกับ Bond Yield สหรัฐฯ) ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2550 บ่งชี้ว่าหุ้นไทยมีความน่าสนใจลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับพันธบัตรสหรัฐฯ
นอกจากนั้นปัจจัยพื้นฐานภายใน หรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ก็ไม่ได้ช่วยสนับสนุนการปรับขึ้นของดัชนีด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดประมาณการกำไรสุทธิ/หุ้น (EPS) ของ SET Index ถูกปรับลดลงทั้งในส่วนของปี 2561 และ 2562 ส่งผลให้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประมาณการ EPS ของตลาดหุ้นไทยถูกปรับลดลงตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้แก่ การที่นักวิเคราะห์ออกมา Downgrade ผลประกอบการของกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้
รวมถึงยังมีปัจจัยที่อาจกดดัน SET Index ได้แก่ ความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันดิบอาจมีการปรับฐานลงในระยะสั้น ภายหลังจากปัจจัยสนับสนุนอย่างความตรึงเครียดในตะวันออกกลาง (Geopolitical risk) มีน้ำหนักลดลง และระดับอุปทานที่อาจเพิ่มขึ้น ภายหลังจากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ไม่นับรวมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกดดันต่อราคาโภคภัณฑ์โดยรวม
อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจจำกัด Upside หรือการปรับขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและ SET Index ได้แก่ การพักตัวของหุ้น PTT ภายหลังจากการแตกพาร์ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นขนาดใหญ่อย่าง AOT มาก่อนหน้านี้
สำหรับธีมการลงทุนที่แนะนำสำหรับเดือนพฤษภาคม แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น กลุ่มปิโตรเคมีที่ส่วนต่าง (สเปรด) ของราคาผลิตภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับสูง ได้แก่ IVL (ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท) กลุ่มโรงแรมที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการขยายตัวของการท่องเที่ยวเมืองรอง ได้แก่ MINT (ราคาเป้าหมาย 48 บาท) และ ERW (ราคาเป้าหมาย 8.90 บาท)
นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และ Logistics properties ที่เตรียมได้ประโยชน์จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้นในช่วงถัดไป หุ้นที่ได้ประโยชน์ได้แก่ AMATA และ WHA (ราคาเป้าหมาย Consensus อยู่ที่ 27 บาทและ 4.60 บาทตามลำดับ)
รวมทั้งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มี Dividend yield อยู่ในระดับสูง ได้แก่ QH ( ราคาเป้าหมาย 3.85 บาท) และ AP (ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท)และกลุ่มสื่อสารที่มี Regulatory risk ที่ลดลง ประกอบกับความน่าจะเป็นที่จะได้รับมาตรการเยียวยาจากภาครัฐมีสูงขึ้น เลือก ADVANC (ราคาเป้าหมาย 217 บาท) และ TRUE ( ราคาเป้าหมาย 8.30 บาท)
สำหรับนักลงทุนระยะสั้นประเภทเก็งกำไร แนะนำหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฯที่ได้อานิสงส์จากการที่เงินบาทกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการอ่อนค่ามากที่สุดประจำปี ได้แก่ KCE (ราคาเป้าหมาย 88 บาท) และ HANA (ราคาเป้าหมาย 44 บาท)
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน