BCPG ประกาศงบฯวันนี้ลุ้นกำไรโตแจ่ม โบรกฯมองทั้งปีพุ่ง 38% หลังบุ๊ครายได้โรงไฟฟ้าเต็มปี
BCPG ประกาศงบฯวันนี้ ลุ้นกำไรโต 600 ลบ. โบรกฯมองทั้งปีโต 38% หลังบุ๊ครายได้โรงไฟฟ้าเต็มปี
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG หลังนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจะมีการรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/61 ในวันนี้ (4 พ.ค.61) และมีแนวโน้มเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดฯคาดกำไร BCPG อยู่ที่ 590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน จากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าต่อเนื่อง
ขณะที่ราคาหุ้น BCPG ปิดตลาดวานนี้ที่ระดับ 20.10 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.50% สูงสุดที่ระดับ 20.30 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 277.34 ล้านบาท
โดยบล.เมย์แบงค์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดการณ์ผลประกอบการปกติงวดไตรมาส 1/61 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสก่อนหน้า จากค่าตัดจำหน่ายสิทธิในการขายไฟของโครงการลมและพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ลดลงเหลือเป็นรายไตรมาส
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ผลประกอบการปกติของ BCPG ในปี 2561 จะเติบโต 38.6% เทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ผลประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเต็มปี และการเปิดดำเนินงานโครงการ Gotemba 4MW ในประเทศญี่ปุ่นในไตรมาส 1/61 และโครงการโซล่าร์ฟาร์มหน่วยงานราชการและสหกรณ์ขนาด 8.94MW ภายในไตรมาส 2/61
ด้านนายชาญวิทย์ ตรังอดิศัยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจองค์กร BCPG เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในปี 2561 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเป็นการเติบโตจากโครงการที่จะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเข้ามาเพิ่มเติม และจากโครงการเดิมที่จ่ายไฟฟ้าอยู่แล้ว
โดยในปี 2561 จะรับรู้ผลตอบแทนการลงทุนแบบเต็มปี จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย มีขนาดกำลังการผลิตรวม 182 เมกะวัตต์ (MW) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์ ขนาดกำลังผลิต 50 MW
ขณะที่ นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCPG เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 2561 มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) เติบโตประมาณ 15-20% จากงวดปี 2560 เนื่องจากบริษัทจะบันทึกผลตอบแทนการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในไทยและต่างประเทศมากขึ้น
ขณะเดียวกันทางบริษัทยังมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 200 MW จากสิ้นปี 2560 มีกำลังการผลิตติดตั้งตามสัดส่วนถือหุ้นรวมอยู่ที่ประมาณ 600 MW โดยแบ่งสัดส่วนเป็นการเข้าซื้อกิจการ จำนวน 150 MW ส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจแบบ Retail ซึ่งทำกับผู้บริโภครายย่อย ผ่านการทำโซลาร์รูฟท็อปในประเทศ โดยดำเนินการในโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI คาดจะดำเนินการได้ช่วงกลางปี 2561
ขณะที่บริษัทวางงบลงทุนในช่วง 3 ปี (2561-2563) ไว้ที่จำนวน 30,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นการลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 15% โดยศึกษาที่จะเข้าลงทุนในโครงการที่ตั้งอยู่ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในปี 2561 ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการพัฒนาโครงการเดิมและโครงการใหม่
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อเดือนก.ย. 2559 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัท ณ สิ้นปี 2560 สูงกว่า 46,000 ล้านบาท และปัจจุบันอยู่ที่ระดับมากกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯบริษัทมีมาร์เก็ตแคปเพียง 19,900 ล้านบาท โดยสิ้นปี 2560 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 600MW