เปิดโผ “หุ้นบลูชิพ” 4 เดือนลงมากกว่าขึ้น! แนะเก็บ 9 หุ้นดีราคาถูก ร่วงเกิน 10%

เปิดโผหุ้น “บลูชิพ” 4 เดือน ลงมากกว่าขึ้น! แนะเก็บ 9 หุ้นดีราคาถูกร่วงเกิน 10% นำโดย CBG, EA, TMB, SAWAD, TPIPL, KCE, KBANK, TRUE, SCB


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่ม SET50 ในรอบ 4 เดือน พบว่า ราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-30 เม.ย.61 ส่วนใหญ่ปรับตัวลงมากกว่าขึ้น โดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีเพียง 20 ตัว และมีหุ้นปรับตัวลดลงเพียง 29 ตัว และราคาไม่เปลี่ยนแปลง 1 ตัว

โดยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ปรับตัวขึ้น 1.29% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1,780.11 จุด ( 30 เม.ย.61) บวกไป 26.40 จุด ส่วนดัชนี SET50 ในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 3.69% จากดัชนีที่ยืนอยู่ที่ระดับ 1135.14 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ 1177.02 จุด ( 30 เม.ย.61) บวกไป 41.88

ทั้งนี้ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านหุ้น SET50 ที่ปรับตัวลงมากกว่าขึ้น เป็นผลมาจากในช่วงเดือนมีนาคมมีปัจจัยลบกดดัน  อาทิ ความไม่แน่นอนต่อปัจจัยการเมือง (โรดแมปการเลือกตั้ง) และกลุ่มธนาคารยังมีแรงกดดันต่อเนื่องจากนโยบายยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ที่ธนาคารขนาดใหญ่ทยอยประกาศ รวมไปถึงภาครัฐอยู่ระหว่างพิจารณาปรับโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น และราคาขายปลีก กดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและเป็นช่วงที่หุ้นประกาศจ่ายปันผล(XD)เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ไม่เพียงเท่านั้นนักลงทุนทยอยปิดความเสี่ยงก่อนเข้าสู่ช่วงหยุดเทศกาลสงกรานต์ อีกทั้งนักลงทุนขายลดความเสี่ยงสถานการณ์ในซีเรียทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1800 จุด

อย่างไรก็ตามหุ้นบลูชิพที่ปรับตัวลดลงแรง ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เก็บหุ้นพื้นฐานดีราคาถูกเข้าในพอร์ตอีกครั้ง นำโดย CBG, EA, TMB, SAWAD, TPIPL, KCE, KBANK, TRUE, SCB, BCP โดยราคาหุ้นปรับตัวลงแรงเกิน 10%  

ด้านหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20 ตัวส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดฯที่ปรับตัวขึ้นเพียง 1.29% คือ โดย 5 อันดับแรกให้ผลตอบแทนโดดเด่นเกิน 10% คือ PTTEP, PTT, HMPRO, PTTGC, IVL ซึ่งครั้งนี้จะขอนำเสนอข้อมูลหุ้นดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางการลงทุนดังนี้

 

อันดับ 1 บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP  เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสูงสุดในรอบ 4 เดือน ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 34% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 100.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 134.00 บาท (30 เม.ย.61) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงมีปัจจัยบวกหลายด้าน อาทิ ชนะประมูลสัมปทานสำรวจปิโตเลียมอ่าวเม็กซิโก 2 แปลง จ่อเซ็นสัญญาพ.ค.นี้

อีกทั้งรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ สาธารณรัฐอินโดนีเซียถอนฟ้องคดี”มอนทารา” จากเหตุการณ์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติรั่วไหล เป็นจำนวนเงินประมาณ 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560

บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ขณะที่กลุ่มพลังงาน คาดบวก/ลบ ตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามยังมีความน่าสนใจเฉพาะตัว เช่น  PTTEP ที่คาดยังมีแรงเก็งกำไรจากการเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมแหล่งบงกช-เอราวัณ โดยคาดมีเปิดประมูลช่วงก.ย.’61 และทราบผลประมูลในเดือนธ.ค.’61

บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า PTTEP เป็นหนึ่งใน top picks ในกลุ่มพลังงาน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสำหรับกำไรปี 2560-63 ที่ 30% หนุนจากคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันและปริมาณยอดขายจะสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเล็งเห็น upside เพิ่มเติมได้ หาก PTTEP ชนะประมูลสัญญาสัมปทานแหล่งบงกช หรือกรณีที่ไปทำ M&A เพิ่มเติมได้แนะนำ ซื้อ PTTEP ที่ 140.0 บาท

อันดับ 2 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 28.41% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 44.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 56.50 บาท (30 เม.ย.61) โดยปัจจัยที่หนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้นแรงส่วนใหญ่มาจากเรื่องการแตกพาร์ และการประกาศผลการดำเนินงานปี 60 ที่ออกมาอย่างโดดเด่น

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 20 ก.พ.61 ได้มีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท ในวันที่ 12 เม.ย. เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่หุ้นของบริษัท

บล.เอเชีย เวลท์ Price Pattern ของ PTT ยังมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ก็จะทำให้ Price Pattern ของ PTT กลับเข้าสู่แนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัว ซึ่งหากสามารถปรับตัวขึ้นมาปิดตลาดเหนือ 58 บาทได้สำเร็จ ก็จะทำให้ Price Pattern ของ PTT กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัวจากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ PTT ตราบเท่าที่ยังสามารถปิดตลาดเหนือ 55.75 บาท มีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 62.50 บาท

อันดับ 3 บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 17.19% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 15.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 12.80 บาท (30 เม.ย.61) คาดนักลงทุนเข้าเก็งกำไรแผนธุรกิจที่โดดเด่นและผลกำไรสดใสทำให้นักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุน

บล. ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” HMPRO ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท/หุ้น โดยกำไรหลักไตรมาส 1/61 โต 19.3% เทียบจากปีก่อนเป็น 1.2 พันล้านบาท แต่ลดลง 18.2% จากไตรมาสก่อน ถือว่าออกมาดีกว่าที่คาดเล็กน้อย

สำหรับสาเหตุที่กำไรเติบโตดีเมื่อเทียบจากปีก่อนมีผลมาจากอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSSG) การขยายสาขาต่อเนื่อง อัตรากำไรก่อนภาษีทำได้สูงขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าเปิดอย่างน้อย HomePro อีก 1 สาขา และ HomePro S 8 สาขา

อันดับ 4 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 15.29% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 98.00 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 85.00ท (30 เม.ย.61) ราคาหุ้นปรับตัวแรงจากปัจจัยผลการดำเนินงานปี 60 ออกมาสดใส

บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC แนวโน้มราคา HDPE ยังคงอยู่ในระดับสูง จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ในขณะที่โรงงานของ PTTGC กว่า 80% ใช้

วัตถุดิบเป็นก๊าซ ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง จะมี margin สูงขึ้นและได้เปรียบผู้ผลิตสาย Naphtha Based นอกจากนี้ยังเติบโตจากการขยายกำลังผลิต (1) โครงการ LLDPE ขนาดกำลังผลิต 400,000 ตันต่อปี คาดจะเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 1/61 และ (2) โครงการ Methyl Ester plant 2 ขนาดกำลังผลิต 200,000 ตันต่อปี คาดจะเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 4/61

คาดผลการดำเนินงานปี 61 เติบโตต่อเนื่อง จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคา HDPE ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและปริมาณความต้องการใช้ที่สูงขึ้นจากจีน ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ PTTGC ในปี’ 60 มีกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ 66% โดยคาดราคา HDPE ในปี ’61 จะยังคงยืนเหนือ 1,300 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคา HDPE ล่าสุด อยู่ที่ 1,355USD/ตัน ประเมินราคาเป้าหมายปี’61 ที่ 120.00 บาท

อันดับ 5 บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 13.15% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 60.25 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 53.25 บาท (30 เม.ย.61) ด้วยพื้นฐานธุรกิจมีความมั่นคงสูงและมีศักยภาพโตต่อเนื่องในระยะยาวและเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน

บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ ซื้อให้ราคาเป้าหมายที่ 68 บาท โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 1/61 ออกมาดี คาดกำไรสุทธิ 4,593 ล้านบาท เนื่องจาก EBITDA/ตัน ในไตรมาส 1/61 ปรับตัวดีขึ้นมาเป็น 120-130 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน จากระดับเฉลี่ย 110 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันในปี 2560

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button