โบรกฯ ปักธง JKN กำไร Q2 โตทะลัก ชี้ราคาย่อตัวเป็นโอกาสสอย อัพไซด์สูงปรี๊ด!

โบรกฯ ปักธง JKN กำไร Q2 โตทะลัก ชี้ราคาย่อตัวเป็นโอกาสช้อน อัพไซด์สูงปรี๊ด! ฟาก ผู้บริหารมั่นใจ Q2/61 โตต่อเนื่อง รับซีรี่ย์อินเดีย-ฟิลิปปินส์กระแสแรง ดันฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้นของบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN หลังราคาหุ้น JKN ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 12.40 บาท เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2561 จนกระทั่งวานนี้ (31 พ.ค.) ราคาปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 9.45 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 1.07% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 51.91 ล้านบาท ทั้งนี้ยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายปี 62 ที่ 17.30 บาท อยู่ 83%

สำหรับสาเหตุที่ส่งผลให้ราคาหุ้น JKN ปรับตัวลง คาดว่าเป็นผลมาจากความกังวลต่อคุณภาพของลูกหนี้ หลังบริษัทมีจำนวนลูกหนี้ค้างชำระนาน 6-12 เดือนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทเกิดความเสี่ยงที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/61 ในกรณีที่ลูกหนี้ดังกล่าวไม่สามารถชำระเงินได้ทันภายในเดือน มิ.ย. นี้

โดย นักวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น JKN โดยให้ราคาเป้าหมายปี 61 ที่ 17.3 บาทต่อหุ้น โดย JKN รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 ที่ 70.7 ล้านบาท เติบโต 53% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ค่าสิทธิคอนเทนต์ที่ 327 ล้านบาท เติบโต 31% เมื่อเทียบจากปีก่อน

อีกทั้งบริษัทสามารถควบคุมอัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายรวมให้ลดลงเหลือ 13.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60 ที่ 14.7% ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 20.4% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/60 ที่ 17.8%

ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 2/61 จะเริ่มรับรู้รายได้จากการขายคอนเทนต์ในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งจะคิดเป็น 15-20% ของรายได้รวมทั้งปีคาดผลประกอบการเต็มปี 61 จะยังเติบโตได้ตามที่ฝ่ายวิจัยประมาณไว้ โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 225 ล้านบาท เติบโต 20 % เทียบจากปีก่อน

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น JKN พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 13.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น JKN ปรับตัวลงต่อเนื่อง ส่งผลให้มี Upside เพิ่มสูงขึ้น มองเป็นโอกาสทยอยซื้อ

ทั้งนี้จากการสอบถามผู้บริหารของบริษัทระบุว่าเกิดจากความกังวลต่อคุณภาพของลูกหนี้ที่อ่อนแอลง หลังบริษัทมีจำนวนลูกหนี้ค้างชำระนาน 6-12 เดือนเพิ่มขึ้นจากเพียง 30 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 4/60 เป็น 218 ล้านบาทในช่วงไตรมาส 1/61

ดังนั้นจึงทำให้มีความเสี่ยงที่บริษัทอาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/61 ในกรณีที่ลูกหนี้ดังกล่าวไม่สามารถชำระเงินได้ทันภายในเดือน มิ.ย. นี้ (ตามมาตรฐานบัญชีหนี้ค้างชำระเกิน 9 เดือนจะต้องมีการตั้งสำรอง 50% ของมูลค่าหนี้)

โดยลูกหนี้ดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นผู้ประกอบการดิจิตอลทีวีรายใหญ่ 2 ราย มูลหนี้รวม 110 ล้านบาท และ 2) กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นคู่ค้าดำเนินธุรกิจกันนานร่วม 10 ปี มี 2 ราย มูลหนี้รวมกัน 108 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารยังคงมั่นใจและคาดจะได้รับชำระคืนหนี้ทั้งหมดทันตามกำหนด เนื่องจากส่วนใหญ่มีแผนการชำระเงินร่วมกันไว้แล้ว และที่ผ่านมาลูกหนี้ทั้ง 2 กลุ่มแม้มีการชำระคืนช้าแต่ก็มีประวัติการชำระเงินต่อเนื่อง ทำให้เรามองว่าความเสี่ยงในประเด็นดังกล่าวยังค่อนข้างจำกัด

สำหรับทิศทางผลดำเนินงานของ JKN ในช่วงไตรมาส 2/61 บล.เออีซี ยังมองว่าค่อนข้างมีมุมมองเชิงบวก โดยคาดจะได้แรงหนุนจากการทยอยส่งมอบ Content หนังและซีรี่ย์เอเชียให้กับลูกค้าผู้ประกอบการดิจิตอลทีวี (มาร์จิ้นสูง) ที่เพิ่มขึ้นมากจากปีก่อน

รวมทั้งคาดเริ่มรับรู้รายได้จากการขายลิขสิทธิ์ให้กับลูกค้าใน CLMV ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างเตรียมเซ็นสัญญาขายลิขสิทธิ์ซีรี่ย์อินเดีย 3 เรื่อง ให้กับลูกค้าในกัมพูชาและพม่า ขณะที่ด้านค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมีการจัดงานแสดง Content น้อยลง และไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาทางการเงินเช่นปีก่อน ทำให้ยังคาดปี 2561 จะมีกำไรสุทธิ 284 ล้านบาท โต 51.5% เมื่อเทียบจากปีก่อนตามประมาณการเดิม

ขณะที่ นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JKN เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 เชื่อว่าจะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องและส่งผลดีต่อภาพรวมผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อ

ทั้งนี้เป็นผลจากซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์คอนเทนต์หลักที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากเจ้าของสถานีโทรทัศน์ทีวีดิจิทัลที่ให้ความสนใจ เนื่องจากเนื้อหาและรูปแบบการถ่ายทอดเรื่องราวเข้าถึงกลุ่มผู้ชมคนไทยได้ดี ทำให้ง่ายต่อการติดตาม ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ไปออกอากาศสามารถทำตัวเลขเรตติ้งได้ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเห็นสัญญาณการเติบโตด้านช่องทางการเผยแพร่ลิขสิทธิ์คอนเทนต์ผ่านทาง Video on Demand (VOD) ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ชมมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ส่งผลให้สร้างรายได้จากการเผยแพร่ช่องทางดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นและเชื่อว่าในอนาคตช่องทางดังกล่าวจะมีอัตราการเติบโตได้ดี จากพฤติกรรมการรับชมของผู้ชมที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ จึงเชื่อว่าอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอีกด้วย

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมา JKN ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากผลักดันการเติบโตได้ดีทั้งในแง่ของการทำกำไรสุทธิที่ทำให้ JKN ติดอันดับเป็น 1 ใน 3 ของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในกลุ่มธุรกิจบริการ ที่ทำตัวเลขกำไรสุทธิมีอัตราการเติบโตสูงสุด

ขณะที่รายได้รวมทำได้ 345.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.63% เทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 258.76 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง

ดังนั้น ทางผู้บริหารของบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจพื้นฐานธุรกิจที่ดีและยืนยันว่าไม่มีนโยบายขายหุ้นเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากหมดช่วง Silent Period (ห้ามขายหุ้น) แต่อย่างใด โดยครอบครัว ‘จักราจุฑาธิบดิ์’ ยังคงถือหุ้นใน JKN รวมกันกว่า 388 ล้านหุ้น คิดเป็น 71.85% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 540 ล้านหุ้น จากทุนจดทะเบียน 270 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้เนื่องจากทางครอบครัวมีความมั่นใจการดำเนินธุรกิจจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแผนงานในอนาคตที่บริษัทฯ จะเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ภายใต้แบรนด์ CNBC ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนสร้างความแข็งแกร่งด้านผลการดำเนินงานขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งปัจจุบันได้มีรายการ First Class Thailand by JKN CNBC ออกอากาศแล้วหนึ่งรายการทางช่อง 3 HD และจะมีรายการอื่นของ CNBC ตามมาในอนาคตอันใกล้นี้

Back to top button