ดักเก็บ GLOBAL ลุ้นกำไร Q2 โตเด่นสุดในกลุ่ม เป้าทำ Windows Dressing

ดักเก็บ GLOBAL ลุ้นกำไร Q2 โตเด่นสุดในกลุ่ม รับยอดขายพุ่ง ลุยขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง เป้าทำ Windows Dressing โบรกฯ อัพเป้ากำไรปีนี้เพิ่ม


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL หลัง บล.ทิสโก้ มองว่า GLOBAL เป็นหุ้นที่เข้าข่ายทำ Windows Dressing รอบสิ้นไตรมาส 2/60

สำหรับการทำ Windows dressing คือการดันราคาหุ้นปิดให้สูงขึ้น เพื่อทำให้ราคาหุ้นในพอร์ตมีมูลค่าสูงขึ้น และเมื่อมีการปิดไตรมาสจะนำตัวเลขมูลค่าที่เพิ่มขึ้นนั้นมาบุ๊คบัญชี ส่งผลต่อเงินลงทุนมีมูลค่าสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม Windows dressing นั้น จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ แต่ส่วนใหญ่แล้วหากดัชนีมีการปรับตัวขึ้นสูงมากแล้วมักจะไม่เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น

ทั้งนี้ ราคาหุ้น GLOBAL ปิดตลาดวานนี้ (28 มิ.ย.) อยู่ที่ 16.40 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 1.86% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 154.22 ล้านบาท ซึ่งยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 19 บาท อยู่ 15.85%

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น GLOBAL พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 19 บาทต่อหุ้น โดยมอง GLOBAL เป็นหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่น่าสนใจในช่วงนี้ แม้จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากเทศกาลบอลโลกจำกัดมาก แต่น่าสนใจในเชิงของโมเมนตัมของผลประกอบการ เนื่องจากคาด SSSG ในไตรมาส 2/61 จะยังเป็นบวกต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับบริษัทอื่นในกลุ่มค้าปลีกที่ส่วนใหญ่จะทรงตัวถึงพลิกเป็นติดลบ เพราะปีนี้มีฝนตกเยอะกว่าปกติ

ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน, กำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มฟื้นอย่างช้าๆตามการขยับขึ้นของราคาสินค้าเกษตร และได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นของราคาเหล็ก ประกอบกับจะรับรู้รายได้ค่าเช่าศูนย์กระจายสินค้าต่อเนื่องจากไตรมาส 1/61

ดังนั้น จึงคาดเห็นกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อน และโดดเด่นกว่ากลุ่ม โดยจะอยู่ที่ประมาณ 500-520 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 16% – 20% แต่อาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากที่ทำได้ 566 ล้านบาทในไตรมาส 1/61

รวมทั้งในไตรมาสนี้มีการเปิดสาขาใหม่ 2 แห่งที่ อยุธยา และชัยนาท จึงคาดเห็นการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงยังรับรู้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นจากการเริ่มให้เช่าศูนย์กระจายสินค้าตั้งแต่ไตรมาส 1/61 เป็นต้นมา และด้วยการเปลี่ยนนโยบายการคำนวณอายุการใช้งานอาคารจาก 20 ปี เป็น 30 ปี ทำให้ค่าเสื่อมราคาต่อไตรมาสจะลดลงราว 24 ล้านบาท

ทั้งนี้หากกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 เป็นไปตามคาด กำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี 61 จะคิดเป็นสัดส่วนราว 52% – 53% ของประมาณการทั้งปี และคาดกำไรจะอ่อนตัวลงในช่วงครึ่งหลังปี 61 สอดคล้องกับปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีแผนเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในปีนี้ที่ 7-8 แห่งในไทย และ 1 แห่งในกัมพูชา ซึ่งคาดจะเห็นสาขาแรกในกัมพูชาอย่างเร็วคือในไตรมาส 3/61 จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ไว้ที่ 2,050 ล้านบาท เติบโต 27.4% เมื่อเทียบจากปีก่อน

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ GLOBAL ขึ้นเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ” และปรับราคาเปาหมายสิ้นปี 2561 ขึ้นเป็น 18.50 บาทต่อหุ้น จากเดิม 16.10 บาทต่อหุ้น เนื่องจากแนวโน้มยอดขายสาขาเดิมเติบโตแข็งแกร่งกว่าคาด อีกทั้งแผนการขยายสาขาเชิงรุกดูเหมือนจะยาวนานกว่าที่เคยประเมินไว้ นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า GLOBAL เป็นบริษัทที่น่าเล่นรับการฟืนตัวของกำลังซื้อในต่างจังหวัดที่คาดว่าจะดีขึ้นในปลายไตรมาส 4/61 มากที่สุด

โดยยอดขายสาขาเดิมของ GLOBAL เติบโตมากกว่าที่ บล.บัวหลวง ประเมินก่อนหน้า แม้ฝนที่มาเร็วตั้งแต่เดือนเม.ย. ส่งผลกระทบเชิงลบต่อยอดค้าปลีกโดยรวม แต่ยอดขายสาขาเดิมของ GLOBAL ขยายตัวได้ถึงราว 4-5% ในเดือนเม.ย. และเติบโตด้วยตัวเลขสองหลักในเดือนพ.ค. เนื่องจากราคาเหล็กสูงขึ้นและสภาพอากาศใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งทำให้ยอดขายสาขาเดิมเฉลี่ยเดือนเม.ย.-พ.ค.ขยายตัวราว 7% การขยายตัวที่แข็งแกร่งนี้น่าจะต่อเนื่องไปยังช่วงที่เหลือของปีนี้

ขณะที่กำลังซื้อในต่างจังหวัดที่น่าจะเริ่มฟืนตัวหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวหอมมะลิในเดือนพ.ย. จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนยอดขายสาขาเดิมให้โตมากขึ้นในไตรมาส 4/61 จนถึงไตรมาส 1/62 ทั้งนี้ราคาข้าวหอมมะลิปรับตัวสูงขึ้น 38% นับจากต้นปีมาอยู่ที่ 1.70 หมื่นบาท/ตันในปัจจุบัน แม้ข้าวหอมมะลิมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด มูลค่าข้าวหอมมะลิคิดเป็นกว่า 42-45% ของทั้งหมด

ทั้งนี้นับจากต้นปี GLOBAL เปิดสาขาใหม่แล้ว 2 แห่ง และยังคงเป้าหมายที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 6 แห่งในครึ่งหลังของปี 61 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสาขารวม 63 แห่งภายในสิ้นปี 61 รวมทั้งยังเชื่อว่าบริษัทจะยังสามารถคงอัตราการเปิดสาขาใหม่ที่ 6-8 แห่งต่อปีได้จนบริษัทมี 100 สาขาในปี 2568 โดยยังมีพื้นที่ที่บริษัทสามารถเปิดสาขาเพิ่มได้อีกมาก ความต้องการในอำเภอขนาดใหญ่ในหลายๆ จังหวัดมีมากพอที่บริษัทจะเปิดสาขาได้ อีกทั้งการแข่งขันในพื้นที่เหล่านี้ค่อนข้างน้อย

ดังนั้นจึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 61 ขึ้น 3% เพื่อสะท้อนแนวโน้มยอดขายสาขาเดิมที่ขยายตัวได้แข็งแกร่งกว่าคาด และปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสำหรับปี 62 และ 63 ขึ้น 7% และ 14% ตามลำดับ เนื่องจากปรับเพิ่มสมมติฐานจำนวนสาขาเปิดใหม่ต่อปีขึ้นเป็น 7 แห่ง จากเดิม 5 แห่ง

Back to top button