เปิด 11 รายชื่อหุ้น SET ราคาดิ่งนรก! ครึ่งปีแรกนักลงทุนเจ๊งเกิน 50%

เปิด 11 รายชื่อหุ้น SET ราคาดิ่งนรก! ครึ่งปีแรกนักลงทุนเจ๊งเกิน 50% นำโดย MALEE,TRC,SDC,TTCL,ECL,APEX, SCI,NUSA,FN,SAWAD,JMARTและJWD


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม SET ในรอบ 6 เดือนหรือครึ่งปีแรก 2561 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-29 มิ.ย.61 และคัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวสวนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลง 9.02% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1595.58 จุด ( 29 มิ.ย.61) ลบไป 153.13 จุด

ทั้งนี้จะพบว่าดัชนี SET ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอ่อนตัวลงแรงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.จะเห็นว่าดัชนีอ่อนตัวหลุดจากระดับ 1800 จุด และในช่วงเดือนมิ.ย.61 ดัชนีอ่อนตัวไม่หยุด และหลุดแนวรับทั้ง 1700 จุด และ 1600 จุด เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่วันที่ 1ม.ค.-10 ก.ค.61 นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิไปแล้ว 194,542 ล้านบาท อีกทั้ง Fund Flow ต่างชาติยังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง

สำหรับหุ้นกลุ่มหุ้น SET ที่ปรับตัวลงแรงตามทิศทางตลาดโดยครั้งนี้ได้คัดเลือกหุ้นมานำเสนอ 11 ตัว โดยหุ้นดังกล่าวราคาร่วงหนักเกิน 50% อาทิ MALEE,TRC,SDC,TTCL,ECL,APEX, SCI,NUSA, FN,SAWAD,JMARTและJWD โดยหุ้นที่จะนำเสนอข้อมูลประกอบขอนำเสนอเพียง 5 อันดับแรกของตารางดังนี้

อันดับ 1 บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE  ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 67.84% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 38.25 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 12.30 บาท (29 มิ.ย.61) ราคาหุ้นร่วงหนักในรอบ 6 เดือน ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานปี 60 ที่ประกาศออกมาในช่วงดังกล่าว

ขณะเดียวกันผลงานไตรมาส 1/61 กำไรสุทธิลดลงเหลือ 9.46 ลบ. จากปีก่อนมีกำไร 118.50 ลบ. เนื่องจากบริษัทมียอดขายรวมลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.36 พันล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน

อย่างไรก็ตามบริษัทคาดผลงานปีนี้จะกลับมาเติบโตอย่างโดดเด่นตามแผนกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาว 9 ปี (58-66) หลังจากช่วงที่ 1 (58-60) ได้วางรากฐานและความเข้มแข็งขององค์กรในอนาคต ด้วยการลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการผลิตและบุคลากร รวมทั้งด้านวิจัยพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลายและมีมูลค่าเพิ่มสูง นอกจากนั้นยังสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

 

อันดับ 2 บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 61.39% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 1.01 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.39 บาท (29ก.ค.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด 6 เดือน เนื่องจากผลการดำเนินงานเริ่มถดถอยในช่วงปี 60 และไตรมาส 1/61

ทั้งนี้แม้บริษัทจะมีแผนธุรกิจออกมาอย่างต่อเนื่องแต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะไม่ตอบรับ อีกทั้งบริษัทมีมติยกเลิกมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2561 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 14 พ.ค.61 โดยอนุมัติให้ยกเลิกการลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) หรือ APOT โดยการลงทุนผ่านบริษัทย่อย คือ TRC Investment Limited และ TRC International Limited ยิ่งทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นหนักอีกทาง

 

อันดับ 3 บริษัท สามารถ ดิจิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SDC ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 61.29% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 0.62 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.24 บาท (29 มิ.ย.61) คาดนักลงทุนทยอยขายหุ้นตลอด6 เดือน เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจไม่สดใสนับตั้งแต่ขาดทุนปี 2559

โดยในช่วงดังกล่าวบริษัทประกาศผลประกอบการปี60  ขาดทุน 1,924.82 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 719.64 ล้านบาท ยิ่งทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นหนัก ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 ขาดทุนสุทธิ 145.10 ลบ. ลดลงจากปีก่อน 199.66 ลบ. เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง

อย่างไรก็ตามปีนี้บริษัทคาดจะมีรายได้อย่างน้อย 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 60 ที่คาดว่าจะทำได้ลดลงมากเมื่อเทียบจากปี 59 ขณะที่ในปีนี้มีโอกาสที่จะพลิกมีกำไรได้ ซึ่งจะเร็วกว่าแผนที่คาดว่าจะกลับมามีกำไรในปี 62  หลังจากเปลี่ยนธุรกิจจำหน่ายมือถือ มาเป็นธุรกิจ Digital Trunked Radio และให้เช่าเสาสัญญาณ Co-Tower ในเขตอุทยานแห่งชาติ ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ปีนี้ โดยบริษัทได้ลงทุนโครงข่ายรองรับ Digital Trunked Radio จำนวน 1,000 สถานี วงเงิน 2.5 พันล้านบาท สามารถครอบคลุมทั่วประเทศ

 

ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้จะมีลูกค้า 50,000 -100,000 ราย และคาดว่าจะได้เพิ่มอีก 1 แสนราย จากหน่วยงานราชการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอขั้นตอนการอนุมัติ  และตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าเป็น 3-4 แสนรายภายในปี 63 โดยบริษัทจะมีรายได้จากค่าใช้บริการรายเดือนๆละ 800 บาทต่อเครื่อง และรายได้จากการจำหน่ายเครืองลูกข่ายวิทยุคมนาคมระบบดิจิทัล (Digital Trunked Radio) ราคาเครื่องละ 2-6 หมื่นบาท ขณะเดียวกันการลงทุนเสาสัญญาณ มีวงเงิน 2.5 พันล้านบาท ซึ่งทยอยลงทุนในช่วงปลายปี 60 และจะลงทุนในปีนี้อีก 200-300 ต้น

อันดับ 4 บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) หรือ TTCL ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 58.72 % โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 17.20 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 7.10 บาท (29 มิ.ย.)  ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนผิดหวังผลการดำเนินงานปี 2560 ออกมาไม่สดใส และในช่วงดังกล่าวบทวิเคราะห์ได้ประเมินว่าธุรกิจยังมีความเสี่ยงจากหนี้เสียโครงการ Rock Salt ยิ่งทำให้

บล. ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  คาดผลประกอบการ 2Q18 ดีขึ้น ผลประกอบการที่ลดลงจากค่าใช้จ่ายพิเศษและรายได้จากงาน EPC ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาจะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินงาน นอกจากนี้บริษัทยังเข้าประมูลงาน 1 หมื่นล้านบาทในต่างประเทศในช่วง 2H18 แนะนำให้ “ขาย” จากผลประกอบการที่ขาดทุนและความเสี่ยงในการเพิ่มทุน มูลค่าที่เหมาะสม 5.60 บาท (PER ที่ 26 เท่าสำหรับปี 2018F)

 

อันดับ 5  บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECLราคาหุ้นปรับตัวลดลง 58.17 % โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากระดับ 4.04 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.69 บาท (29มิ.ย.61)  โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากมั่นใจพื้นฐานธุรกิจที่มีกำไร แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีความกังวลเรื่องเกณฑ์คุม non-bank หรือเกณฑ์คุมสัญญาเช่าซื้อใหม่ส่งผลให้ราคาหุ้นมีแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง

บล.บัวหลวง  ระบุว่า สำหรับไตรมาส 2/61 คาดบริษัทจะกลับมาแสดงผลกำไรเติบโตอีกครั้งทั้ง YoY และ QoQ  จากสินเชื่อที่ประเมินว่าจะเติบโตแรงอย่างต่อเนื่องและได้อานิสงค์จากการจบงาน Motor Show ซึ่งเรามองว่าจะหนุนให้การหมุนเวียนของรถมือ2 ในตลาดมีเพิ่มขึ้น ซึ่ง ECL ได้ประโยชน์จากการปล่อยสินเชื่อให้กับรถยนต์มือ2 นี้ รวมถึงการตั้งสำรองเพื่อการเตรียมความพร้อม IFRS9 คาดจะลดลงจาก 1Q18 ส่งผลให้กำไรดีขึ้น

คงประมาณการกำไรปี 2017-18 ที่ 172 และ 251 ล้านบาท โดยเรายังคงคาดบริษัทจะสามารถรักษาส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ได้สูงในระดับ 6.10% โดยเรามองว่าหุ้นกู้ของบริษัทที่ได้อันดับความน่าเชื่อถือ BBB- โดยทริส จะเป็นปัจจัยช่วยให้บริษัทสามารถล๊อคต้นทุนการเงินให้ต่ำไปได้อีกหลายปี

อย่างไรก็ดีเราประเมินว่าผลกระทบต่อผลประกอบการจะจำกัด และคาดกำไรจะเริ่มกลับมาเติบโตได้ดีตั้งแต่ 2Q18 ดังนั้น จากราคาหุ้นปัจจุบันที่เทรดบน P/E เพียง 15 เท่า มองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม ราคาเป้าหมาย 3.80 บาท อิง PE 25 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ PE 20-25 เท่า

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button