คัด 18 หุ้นดาวเด่น mai พานักลงทุนเป๋าตุงสวนภาวะตลาดขาลง!
คัด 18 หุ้นดาวเด่น mai พานักลงทุนเป๋าตุงสวนภาวะตลาดขาลง!
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในตลาด mai โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากราคาหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 นับตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.60 จนถึงวันที่ 29 มิ.ย.2561 ถือเป็นการให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนที่ถือหุ้นมาตั้งแต่ต้นปี 61 ถึงแม้ว่าบจ.ส่วนใหญ่จะปรับตัวลง เนื่องจากภาวะดัชนีโดยรวมยังคงผันผวน
สำหรับหุ้น 5 อันดับแรกมีดังนี้
อันดับ 1 บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 156.57% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 12 ก.ค.2561 อยู่ที่ 2.04 บาท ปรับตัวขึ้น 0.02 บาท หรือ 0.99% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 41 ล้านบาท
โดยราคาหุ้น OCEAN ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2561 ภายหลังจากคณะกรรมการบริษัทอนุมัติแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 301.61 ล้านบาท จากเดิมที่ 180.97 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน 482.57 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.25 บาท เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) คือ นางชัชชญา ไตรตระกูลชัย ในราคาหุ้นละ 0.80 บาท คิดเป็นมูลค่า 386.05 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนครั้งนี้นางชัชชญาจะเข้ามาถือหุ้นในบริษัท 40%
ทั้งนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าว คาดว่าจะเป็นการขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมผลิตไบโอดีเซล โดยนำความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้ลงทุนในธุรกิจผลิตและการซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงไบโอดีเซล
อันดับ 2 บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 103.08% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 12 ก.ค.2561 อยู่ที่ 6.85 บาท ปรับตัวขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.71% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 17.34 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องรับผลประกอบการในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตเป็นเท่าตัว ทั้งนี้นายศศิพงษ์ ปิ่นแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ TITLE เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 2561 คาดจะมีรายได้อยู่ที่ระดับ 600 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 100% จากปี 2560 ที่มีรายได้อยู่ที่ 301 ล้านบาท เนื่องจากมียอดขายรอโอน (Backlog) และยอดรอการขายรวมกันที่ระดับ 1,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2561-2562 และประเมินปี 2562 จะมีรายได้อยู่ที่ 900 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไม่ต่ำกว่า 40% และรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ไม่ต่ำกว่า 20% ประกอบกับบริษัทยังมีแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ในช่วงไตรมาส 4/2561 และช่วงไตรมาส 1/2562 มูลค่ารวมประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท บนทำเลหาดราไวย์ และหาดในยาง จังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับรายได้ในปี 2563-2565 และสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างมั่นคง
อันดับ 3 บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 48.51% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 12 ก.ค.2561 อยู่ที่ 7.95 บาท ปรับตัวขึ้น 0.01 บาท หรือ 1.27% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 1.40 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่องภายหลังจากประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 มีกำไรสุทธิ 46.03 ล้านบาท ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ผ่านมาของ XO รายได้เติบโตเพียง 5.2% จากปีก่อน แต่กำไรเติบโตสูงกว่า 219% จากการลดค่าใช้จ่าย อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจาก 27% เป็น 36% และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงประมาณ 14% จากปีก่อน
ทั้งนี้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากต้นทุนที่ลดลง(รวมถึงราคาน้ำตาลที่ลดลงมากกว่า 20%) แต่ค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าจะเป็นบวกกับบริษัทในช่วงต่อจากนี้เนื่องจากบริษัทมีการปรับขึ้นราคาขายกับลูกค้าไปในระดับหนึ่งแล้วและการส่งออกติดเป็น 99.8% ของรายได้ที่ผ่านมาของบริษัท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไตรมาสแรกผลประกอบการออกมาดีเป็นประวัติการณ์ คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2 มีโอกาสชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกจากฐานที่สูง ที่ปกติบริษัทจะได้รับผลบวกที่ปกติไตรมาส 1 หรือ 2 จะเป็นช่วงที่ดี แต่ปีนี้ไตรมาส 1 เติบโตสูงแล้ว
ขณะที่ บริษัทตั้งเป้ารายได้โต 10% ในปีนี้ โดยรายได้ของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา มาจากยุโรปเป็นส่วนใหญ่ 85.9% เมื่อเทียบกับ 6.5% ในเอเชียและ 4.3% ในออสเตรเลีย โดยบริษัทใช้กลยุทธ์ให้ชาวต่างชาติซื้อเครื่องปรุงจากบริษัทไทยเพื่อให้ได้รสชาติไทย แต่รายได้จากซอสและน้ำจิ้มยังเป็นยอดขายหลักของบริษัท ในขณะที่โรงงานแห่งใหม่ได้สิทธิ์ BOI และกำลังการผลิตปัจจุบันยังอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง บริษัทยังสามารถเพิ่มได้ตามความต้องการของลูกค้า ส่วนแบรนด์ FLYING GOOSE ที่ขายซอสพริกและซอสอย่างอื่นมีสัดส่วนประมาณ 30% ของยอดขาย
ทั้งนี้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ไม่ได้ออกบทวิเคราะห์ เป็นการสรุปการประชุมกับบริษัท บริษัทซื้อขายที่ Trailing P/E 34.98 เท่า และ P/B 5.16 เท่า โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 1 เพียงไตรมาสเดียวที่ 46 ล้านบาท ต่ำกว่ากำไรปีที่แล้วทั้งปีที่ 59 ล้านบาทเพียงเล็กน้อย คาดว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
อันดับ 4 บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 35.08% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 12 ก.ค.2561 อยู่ที่ 2.66 บาท ปรับตัวขึ้น 0.04 บาท หรือ 1.53% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 0.65ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 ออกมามีกำไรสุทธิเพียง 3.58 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 60.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.09 ล้านบาท
อันดับ 5 บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ META ซึ่งราคาปรับตัวขึ้น 17.13% นับตั้งแต่ต้นปี ล่าสุดราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 12 ก.ค.2561 อยู่ที่ 2.26 บาท ปรับตัวขึ้น 0.02 บาท หรือ 0.89% ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 34.12 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงภายหลังจากบริษัทฯ ได้ขายสิทธิการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสดงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเสนอราคาซื้อขาย 2.70 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 87,810,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะรายได้ดังกล่าวจะส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาส 2/2561 ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ บริษัทฯ เปิดเผยข้อมูลว่า ตามที่บริษัทวางเงินมัดจำแบบเรียกคืนได้ จำนวนประมาณ 150 ล้านเยน หรือประมาณ 46.68 ล้านบาท เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) และจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 15.4 เมกะวัตต์ (MW) (ภายหลังเปลี่ยนเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซางะ (Saga) จังหวัดซะงะ ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 13 เมกะวัตต์) และ 8 เมกะวัตต์ ตามลำดับ โดยผ่านบริษัทย่อย บริษัท วินเทจ โฮลดิ้ง เจแปน จำกัด (VHJ)
โดย VHJ ได้วางเงินมัดจำในบริษัท Solmax Power Limited (Hong Kong) (Solmax HK) ซึ่งจัดตั้งขึ้นสำหรับลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าว ต่อมา Solmax HK ได้ติดต่อกับบริษัทเพื่อแจ้งว่ามีผู้ลงทุนสนใจซื้อสิทธิการลงทุนของบริษัท โดยเสนอราคาซื้อขาย 2.70 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 87,810,000 บาท
ทั้งนี้ บริษัทได้พิจารณา เจรจา และเล็งเห็นถึงกระแสเงินสดที่บริษัทจะได้รับจากการขายสิทธิการลงทุนดังกล่าว บริษัทจึงตัดสินใจเข้าทำสัญญาซื้อขายสิทธิการลงทุนในบริษัท Solmax HK กับ Scarlet Maple Investments Limited (Scarlet) ซึ่งเป็นผู้ลงทุนที่สนใจเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 ในราคา 2.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง Scarlet จะต้องชำระราคาซื้อขายเต็มจำนวนแก่ VHJ ภายใน 15 วันทำการ นับจากวันที่คู่สัญญาเข้าทำสัญญาซื้อขายสิทธิการลงทุนในบริษัท Solmax HK โดยในวันนี้บริษัทได้รับชำระราคาซื้อขายสิทธิการลงทุนดังกล่าวแล้ว
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน