เปิด 3 ทอปพิคกลุ่มรับเหมาฯ ฐานะการเงินแกร่ง จ่อประกาศงบฯ Q2 โต!
เปิด 3 ทอปพิคกลุ่มรับเหมาฯ ฐานะการเงินแกร่ง-ประสบการณ์สูง ตัวเต็งคว้างานรถไฟทางคู่
สืบเนื่องจากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ รวมระยะทาง 323 กม. โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 62 และจากเดิมคาดว่าจะใช้เวลาในเวนคืนที่ดิน 1-2 ปี (ปี 63-64 ) หลังจากประกาศพ.ร.ฎ.เวนคืน และจะเปิดประมูลหาผู้รับเหมาในปี 64 เริ่มก่อสร้างปี 65 ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี แล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 68 แต่นโยบาย รฟท.จะเร่งรัดปรับแผนงานให้เร็วขึ้น
โดยดำเนินการประมูลคู่ขนานกับเวนคืน ซึ่งหลังจากนี้จะเสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง (ซูเปอร์บอร์ด) ที่มีนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธาน ให้พิจารณากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อความโปร่งใสต่อไป ในขั้นตอนประมูลจะต้องจ้างที่ปรึกษาจัดทำเอกสารประกวดราคาก่อน ส่วนการเวนคืนจะต้องมีการจ้างที่ปรึกษาสำรวจ รายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ และประเมินราคาที่ดิน ด้วย
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทผู้ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง อาทิ STEC ,SEAFCO และ CK ซึ่งมีโอกาสจะได้รับงานเพิ่มขึ้น
โดย บล.เคที ซีมิโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่าที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. มูลค่าลงทุนรวม 85 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2019 และเปิดให้บริการปี 2022-2023 โครงการดังกล่าวประกอบด้วย 26 สถานี และอุโมงค์รถไฟ 4 แห่ง เริ่มต้นจาก จ. แพร่, ลำปาง, พะเยา, เชียงราย สิ้นสุดที่ อ. เชียงของ ซึ่งติดชายแดนประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนลาว โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา
โดย มองว่าข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เพราะดูจะมีความคืบหน้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับโครงการภาครัฐฯ อื่นๆ โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีมูลค่าก่อสร้างรวม 77 พันล้านบาท ผ่านการพิจารณาด้าน EIA แล้วปี 2560 เป็น 1 ใน 9 ของรถไฟทางคู่เฟสสองที่การรถไฟแห่งประเทศไทยมีแผนจะเปิดประมูล เป็นรถไฟสายใหม่ (ไม่มีทางเดี่ยวมาก่อน) จึงเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูง ประโยชน์ของรถไฟสายนี้ คือ จะเชื่อมต่อเส้นทางเศรษฐกิจของภาคเหนือหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ ขนาดใหญ่น่าจะได้ประโยชน์จากความคืบหน้าในประเด็นนี้ เพราะหากแบ่งเป็น 3 สัญญา ขนาดงานของแต่ละสัญญาน่าจะมีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องอาศัยผู้รับเหมาฯ ที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและมีประสบการณ์ ทั้งนี้ ยังคงเลือก CK (ราคาพื้นฐาน 34 บาท) และ STEC (ราคาพื้นฐาน 25 บาท) เป็นหุ้น Top Picks
บล.ทิสโก้ ประเด็นหุ้นน่าสนใจ Trading Pick SEAFCO – เมื่อวานนี้ ครม.อนุมัติโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงินรวม 8.5 หมื่นลบ.จะเปิดประมูลปลายปีนี้และเริ่มก่อสร้างปีหน้า คาดจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา, ทั้งนี้คาดว่างบไตรมาส 2/2561 ของ SEAFCO จะออกมาดีมาก มีกำไรสุทธิ 66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากปีก่อน และ 25% จากไตรมาสก่อน, มองราคาหุ้นอ่อนตัว 2 วันติดเป็นจังหวะเข้าลงทุน, เป้าพื้นฐาน 11 บาท
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่าประเด็นที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางรางโดยอนุมัติวงเงิน 85,345 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323.1 กม. โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี จะเริ่มดำเนินการปี 2562 แล้วเปิดใช้งานปี 2565 ส่วนโครงการพัฒนารถไฟทางคู่เฟส 2 ที่เหลืออีก 8 โครงการ คาดว่าในเดือน ก.ย-ต.ค นี้ จะเสนอเส้นที่มีความพร้อมมากที่สุด คือ ขอนแก่น-หนองคาย และจะทยอยเสนอเพิ่มเดือนละ 2 โครงการ ซึ่งทำให้โครงการที่อยู่ในแผนนี้เสนอ ครม. ครบภายในปีนี้
โดย โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ถือเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่โครงการแรกที่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. หลัง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา จากนี้ไปเชื่อว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับโครงการลงทุนอื่นๆ ตามมา โดยโครงการที่ได้มีการเปิดขายซองประกวดราคาแล้วอย่างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่าโครงการ 2.2 แสนล้านบาทน่าจะทราบผลผู้ชนะประมูลช่วงปลายปี ส่วนโครงการที่คาดว่าจะมีการขายซองประกวดราคาเร็วๆ นี้ ได้แก่ งานก่อสร้างทางด่วนดาวคะนอง-พระราม3 มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท และระบบ O&M มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี มูลค่ารวม 6 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มูลค่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่างานประมูลภาครัฐที่มีโอกาสเกิดขึ้นภายในปี 2561 น่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 4.7 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง น้อยกว่าตลาด โดยมองความเสี่ยงหลักของกลุ่มฯอยู่ที่ความล่าช้าในการเปิดประมูลโครงการภาครัฐจากสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงเก็งกำไรดังกล่าวมีความน่าสนใจน้อยลง โดยเลือกหุ้นพื้นฐานแกร่งและมีแนวโน้มการเติบโตที่ชัดเจนจากงานในมือที่มีอยู่จำนวนมาก อย่าง STEC ราคาเป้าหมาย 25.00 และ SEAFCO ราคาเป้าหมาย 10.91 บาท เป็นหุ้น Top Picks ของกลุ่ม