เปิดรายชื่อหุ้น mai สุดแกร่ง! ชู 7 เดือนหุ้นบวกแค่ 24 ตัว

เปิดรายชื่อหุ้น mai สุดแกร่ง! ชู 7 เดือนหุ้นบวกแค่ 24 ตัว


 ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม mai ในรอบ 7 เดือน 2561 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-31ก.ค.61 โดยทิศทางราคาหุ้นในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน อาทิ ประเด็นกลุ่มธนาคารมีนโยบายยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม

อีกทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกดดันให้ดัชนี SET หลุดแนวรับสำคัญทั้ง 1800 จุด และ 1700 จุด และ 1600 จุด

อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วงเดือนก.ค.61 ดัชนีจะเริ่มฟื้นตัวและขึ้นมายืนเหนือระดับ 1700 จุดได้อีกครั้ง แต่ภาพรวมตลาดช่วงนี้ยังต้องติดตามการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/61 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากไม่ได้ออกมาดีกว่าคาดอย่างมีนัยยะยังมองว่าดัชนีมีโอกาสถูก Sell on Fact ระยะสั้น เนื่องจากภาวะตลาดปรับตัวขึ้นแรงในช่วงกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามกรอบการลบของดัชนีคาดว่าถูกจำกัดเช่นกันจากกระแสเงินทุนที่ยังอยู่ในทิศทางไหลเข้า

ส่วนภาพรวมดัชนี mai ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมายังติดลบ โดยดัชนีปรับตัวลดลง 19.02% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 540.37 จุด (29 ธ.ค. 60) 102.78 จุด มาอยู่ที่ระดับ 437.59 จุด (31 ก.ค.61) โดยหุ้นที่ปรับตัวสวนภาวะตลาดในช่วงดังกล่าวมีทั้งหมด 23 ตัว ดังตารางประกอบอย่างไรก็ตามครั้งนี้จะเลือกนำเสนอข้อมูลประกอบเพียง 5 อันดับแรกของตารางคือ OCEAN,TITLE,CHAYO,XO และ PIMO

อันดับ 1 คือ บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 124.32% โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 0.74 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.66 บาท (31 ก.ค.61) เนื่องนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรตามข่าวขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) คือ นางชัชชญา ไตรตระกูลชัย จำนวน 482.57 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.80 บาท คิดเป็นมูลค่า 386.05 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนครั้งนี้นางชัชชญา จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัท 40% โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงไบโอดีเซลของบริษัท

อย่างไรก็ตามพื้นฐานหุ้นไม่สดใสทำให้ทุกครั้งที่ปรับตัวขึ้นแรงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะประกาศให้ติด Cash Balance โดยล่าสุดขยายเวลาตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 2561สิ้นสุดวันที่ 14 ส.ค. 2561 โดยล่าสุดงบไตรมาส 2/61 ขาดทุนเพิ่มกว่า 2 เท่าตัว มาที่ 28.50 ลบ. จากปีก่อนขาดทุน 9 ลบ. หลังรายได้ลดและค่าใช้จ่ายเพิ่มตรงนี้นักลงทุนควรระวังแรงเทขายทำกำไรในช่วงนี้

 

อันดับ 2 บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE  ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 101.54% โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.58 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 6.55 บาท (31 ก.ค.61) คาดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการปีนี้จะออกมาโดดเด่นส่งผลให้ 7 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

สำหรับผลประกอบไตรมาส 2/61 ขยับขึ้นเล็กน้อยมาที่ 8.90 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 8.21 ล้านบาท ขณะเดียวกัน งวด 6 เดือนมีกำไร 21.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อนมีกำไร 17.24 ล้านบาท

ด้าน นายศศิพงษ์ ปิ่นแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายธุรกิจภายใน 5 ปี (2561-2565) พร้อมก้าวเป็นเบอร์หนึ่ง “อสังหาฯทางเลือก” ของจังหวัดภูเก็ต สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

โดยวางเป้ารายได้ในปี 2561 – 2562 เติบโตเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 100% เมื่อเทียบจากปี 2560 โดยรายได้รวมจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 600 ล้านบาท และ 900 ล้านบาทตามลำดับ พร้อมกันนี้ บริษัทฯตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไม่ต่ำกว่า 40% และรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ไม่ต่ำกว่า 20%

โดยปัจจุบันบริษัทฯมียอดขายรอการโอน (Backlog) อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทฯยังมียอดรอการขายอีก 600 ล้านบาท สำหรับแผนธุรกิจปีนี้บริษัทฯวางแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 2,500-3,000 ล้านบาท พร้อมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 300-400 ล้านบาท เพื่อรองรับโครงการใหม่ในอนาคตและเพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทฯอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

 

อันดับ 3 บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 34.72% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 2.88 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 3.88 บาท (31 ก.ค.) คาดนักลงทุนเก็งกำไรแผนธุรกิจที่ออกมาโดดเด่นและทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง

โดยบริษัทคาดจะสรุปดีลซื้อหนี้เข้ามาบริหารจำนวน 1,000 ล้านบาทได้ภายในปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นกันยายนนี้ และจะยังคงเดินหน้าซื้อหนี้เข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนรายได้ปีนี้ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมาย และผลักดันพอร์ตในมือปลายปีแตะ 4 หมื่นล้านบาท จาก 3.7 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน

ขณะที่คาดว่าผลประกอบการประจำไตรมาส 2/61 ยังคงเป็นไปตามแผน ล่าสุดจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อขอใบอนุญาตและรุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อ หวังยอดปล่อยสินเชื่อ 500 ล้านบาทภายใน 3 ปี โดยสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4/61 และจะเห็นผลชัดเจนในปี 62

 

อันดับ 4 บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 63.37% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 5.05 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 8.25 บาท (31ก.ค.61)  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงตามแผนธุรกิจที่โดดเด่นและพื้นฐานสดใสทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์แนะนำเข้าลงทุนยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง

บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ปี 61 วางแผนลดต้นทุนและขยายตลาดใหม่เพิ่มคงประมาณการกำไรปี 61 ที่ 93 ล้านบาทเติบโต 57%YoY ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี PE Ratio อิง Prospective PE ที่ 26 เท่าซึ่งต่ำกว่าค่า PE เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีที่ 33 เท่าและค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอาหารในตลาด MAI ที่34 เท่า เนื่องจากเราใช้มุมมองอนุรักษ์นิยม โดยคาดกำไรต่อหุ้นปี 61 ที่ 0.26 บาทต่อหุ้นได้ราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้นจาก 5.46 บาทสู่ 6.76 บาท ซึ่งมี Upside 12% จากราคาปัจจุบันจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”

นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2561 คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานจะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% และกำไรสุทธิเติบโตกว่าปีก่อน จากภาพรวมตลาดซอสปรุงรส น้ำจิ้ม และเครื่องประกอบอาหารไทยยังคงได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ เป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการขยายตลาดและมีความต้องการซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียอดขายจากการส่งออกราว 99.8% และมีสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ มีสัดส่วนประมาณ 71.86% ของรายได้ทั้งหมด

สำหรับโรงงานแห่งใหม่แห่งที่ 2 ตั้งอยู่ในนิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มประสิทธิภาพแล้ว สนับสนุนกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว และจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันให้ยอดขายเติบโตในอนาคต

 

อันดับ 5 บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO  ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 54.97% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.91 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 2.96 บาท (31 ก.ค.61) คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นเล็ก อีกทั้งหุ้นเป็นขาลงมานานทำให้มีแรงซื้อเก็งกำไรทางเทคนิคเข้ามาสนับสนุน

บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า PIMO ปี 61 คาดกำไรฟื้นตัว 56.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามกำลังซื้อในประเทศที่ดีขึ้นและค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาลดลงแต่ด้วยความล่าช้าของโครงการ VSM และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นกดดันศักยภาพทำกำไรให้ไม่สดใสเหมือนก่อนทำให้ช่วงสั้นยังไม่น่าสนใจลงทุน

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button