เปิดโผหุ้นประกาศงบฯ Q2/61 ชู 3 หุ้นกำไรหรู-อัพไซด์เด่น
เปิดโผหุ้นประกาศงบฯ Q2/61 ชู 3 หุ้นกำไรหรู-อัพไซด์เด่น
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ที่ได้รวบรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2561 ออกมา โดยคัดเลือกบจ.ที่มีกำไรเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และไตรมาสก่อน อีกทั้งบจ.ที่ผลการดำเนินงานลดลงจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และจากไตรมาสก่อนอย่างมีนัยสำคัญ
โดย บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2561 จากที่ฝ่ายวิจัยรวบรวมจนถึงวานนี้ มีบริษัทจดทะเบียนรายงานงบฯ แล้วราว 319 บริษัท คิดเป็น 73% ของ Market Cap. รวม กำไรสุทธิรวม 2.06 แสนล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบเฉพาะที่ประกาศไตรมาส 2/2561 พบว่าเติบโตราว 13.2% จากปีก่อน แต่หากเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2561พบว่าไตรมาสนี้กำไรฯ ลดลงราว 17.2% จากไตรมาสก่อน และเฉพาะ Real Sector ที่ประกาศงบฯ แล้ว มีกำไรสุทธิรวมกันราว 1.41 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% จากปีก่อน แต่ลดลง 21.7% จากไตรมาสก่อน โดยผลการดำเนินงานที่ทยอยประกาศออกมาเพิ่มเติม สามารถสรุปได้ดังนี้
หุ้นกำไรเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และจากไตรมาสก่อน คือ
– หุ้น BANPU (Buy:[email protected]) กำไรสุทธิเท่ากับ 3.97 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.7% จากปีก่อน จากปริมาณขายถ่านหินรวมที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจไฟฟ้าที่มีปริมาณขายไฟในระดับสูงตามสภาวะอากาศ รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (Fx)
โดยราคาหุ้นปิดตลาดล่าสุดวานนี้ (14 ส.ค.) อยู่ที่ระดับ 20.40 บาท มีอัพไซด์ 25.49%
– หุ้น IRPC (Buy:[email protected]) กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 47% จากไตรมาสก่อน, เพิ่มขึ้น 230% จากปีก่อนจากกำไรสต็อกน้ำมัน แต่กำไรปกติลดลง 22% จากไตรมาสก่อน กดดันจากค่าการกลั่น (Market GRM) ลดลง โดยรวมกำไรสุทธิครึ่งปีแรกของปี 2561 ที่ 6.8 พันลบ. (89% จากปีก่อน) 64% ของประมาณการ ส่วนไตรมาส 3/2561 คาดลดลงจากไตรมาสก่อนจากแผน shutdown และไม่มีกำไรสต็อกน้ำมันสูงเช่นงวดที่ผ่านมา แต่คาด กำไรปกติปี 61 และ 62 คาดเติบโต 41% และ 14% ตามลำดับ จากการทยอยรับรู้มูลค่าเพิ่มโครงการในมือ
โดยราคาหุ้นปิดตลาดล่าสุดวานนี้ (14 ส.ค.) อยู่ที่ระดับ 6.45 บาท มีอัพไซด์ 19.38%
– หุ้น PLANB (Buy:[email protected]) กำไรสุทธิอยู่ที่ 153 ล้านบาท เติบโต 26% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากรายได้รวม 877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากการปรับตัวสูงขึ้นของ Utilization rate จาก 65% เป็น 72% แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังของปี 2561 จะดีกว่าครึ่งปีแรกของปี 2561 มีปัจจัยสำคัญจากการรับรู้รายได้จอดิจิทัลขนาดใหญ่ที่ห้างเซ็นทรัลเวิร์ลแบบเต็มไตรมาส หลังจากเริ่มขายไปแล้วในเดือน มิ.ย.61 เป็นเดือนแรก คาดว่าปีนี้จะรับรู้รายได้ราว 100-120 ล้านบาท ด้วยอัตราการจองเต็มแล้วถึงสิ้นปี
โดยราคาหุ้นปิดตลาดล่าสุดวานนี้ (14 ส.ค.) อยู่ที่ระดับ 6.30 บาท มีอัพไซด์ 15.87%
หุ้นที่กำไรเติบโตจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนแต่หดตัวจากไตรมาสก่อน คือ
– หุ้น BCP (Buy:FV@B39) กำไรสุทธิ ลดลง 12.2% จากไตรมาสก่อน ส่วนกำไรปกติลดลง 42.6% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 642 ลบ. กดดันจากแผนการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี และธุรกิจการตลาดกำไรลดลง แต่ได้แรงหนุนจากธุรกิจไฟฟ้า ส่วนกำไรปกติไตรมาส 3/2561 คาดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หนุนจากการกลับมาเดินเครื่องโรงกลั่น แต่ในส่วนของค่าการกลั่นนั้น คาดปรับตัวลดลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วง low season (ไม่เกิดพายุเฮอริเคนที่รุนแรง) โดยรวมคาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2561 ทรงตัว และไม่มีบันทึกกำไรสต๊อกน้ำมันสูงเช่นงวดที่ผ่านมา
หุ้น CHG (Buy:[email protected]) กำไรเติบโต 50% จากช่วงเดียวกันมเมื่อปีก่อน (แต่ลดลง 8% จากไตรมาสก่อน) เกิดจากรายได้ผู้ป่วยเงินสดเติบโตเพิ่มขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนดีขึ้น ขณะที่ SG&A/Sales ลดลงมากเกิดจากรายการโอนกลับค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2561-66 ขึ้นเฉลี่ย 9.8% หลังพบว่ารายได้มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าคาด และอัตรากำไรดีขึ้นทุกไตรมาส ส่วนในงวดไตรมาส 3/2561 คาดจะยังเติบโตเพราะเป็นช่วง High season ที่มีโรคระบาดมากขึ้น
– หุ้น PYLON(Buy:[email protected]) กำไรสุทธิ 31 ล้านบาท ลดลง 56% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการส่งมอบพื้นที่ทำงานล่าช้าของผู้ว่าจ้าง แต่การเริ่มงาน 2 โครงการใหญ่ที่ถูกเลื่อนมาจากไตรมาส 2/2561 และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง จะทำให้ PYLON มีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2561 และจะต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4/2561 รองรับด้วย Backlog ปัจจุบันที่มีสูงถึง 1 พันล้านบาท ซึ่งงานส่วนใหญ่จะส่งมอบภายในปีนี้ จึงยังแนะนำ ซื้อ
หุ้นที่กำไรหดตัวจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนแต่โตจากไตรมาสก่อน คือ
– หุ้น PSH(Buy:[email protected]) กำไรใกล้เคียงคาด( ลดลง 10% จากปีก่อน, เพิ่มขึ้น 81% จากไตรมาสก่อน) ส่วนภาพรวมกำไรครึ่งปีแรกของปี 2561 ทรงตัวจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่ 2.4 พันล้านบาท แม้ปรับกำไรปี 2561 ลงจากเดิม 4% สะท้อนปรับลดแผนเปิดโครงการใหม่ แต่กำไรปีนี้ยังโต 7.5% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน โดยครึ่งปีหลังของปี 2561 จะเติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2561 หนุนจากการโอนฯ 4 คอนโดฯ ใหม่
หุ้นที่กำไรหดตัวทั้งจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และจากไตรมาสก่อน คือ
– หุ้น PTT(Switch:FV@B54) กำไรสุทธิอยู่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท ลดลง 24.5% จากไตรมาสก่อน และ 4.1% ช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน เกิดจากเงินบาทที่อ่อนค่า กระทบต่อการรับรู้ค่าใช้จ่ายทางภาษีของบริษัทลูก PTTEP ขณะที่การดำเนินงานปกติของธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมยังปรับตัวดีขึ้น
– หุ้น HANA(Buy:[email protected]) กำไรสุทธิ(ต่ำกว่าคาด 33%) ลดลงถึง 51.2% จากไตรมาสก่อน และ 60% ช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน จากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (Fx) ขณะที่กำไรปกติเพิ่มขึ้น 38.6% จากไตรมาสก่อน จากช่วงฤดูส่งออก นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากค่าเงินบาทเฉลี่ยงวดไตรมาส 2/2561อ่อนค่าลง หนุน gross margin เพิ่มเป็น 13.6% คาดกำไรสุทธิปี 2561 ลดลง 31.4% จากปีก่อน จากการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง เช่นเดียวกับกำไรปกติปี 2561 ที่คาดลดลง 24.0% จากปีก่อน จากผลกระทบปัญหาวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนฯ ขาดแคลน แต่คาดกำไรปกติปี 2562 จะพลิกกลับมาเติบโต 3.7% จากปีก่อน จากลูกค้าในกลุ่มยานยนต์ สมาร์ทโฟนและฉลากอัจฉริยะเติบโตต่อเนื่อง
– หุ้น WORK (Switch:FV@B48) กำไรลดลง 69% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก สาเหตุหลักมาจากต้นทุนผลิตรายการสูงขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ขณะที่รายได้จากการขายโฆษณาลดลงมากถึง 27% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน สำหรับแนวโน้มกำไรงวดไตรมาส 3/2561 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากรายได้การจัดคอนเสิร์ตศิลปินดังจากเกาหลี และรายได้จากการขายโฆษณาช่วงถ่ายทอดสดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ แต่ภาพรวมเรตติ้งยังอยู่ในขาลง จึงมีโอกาสที่จะปรับประมาณการลง แนะนำ Switch ไป RS
*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน