12 หุ้นรับศึกหนัก! หลังสงครามการค้ายืดเยื้อกดค่าเงินโลกผันผวนทำรายได้หด-หนี้พุ่ง
12 หุ้นรับศึกหนัก! หลังสงครามการค้ายืดเยื้อกดค่าเงินโลกผันผวนทำรายได้หด-หนี้พุ่ง
สืบเนื่องจากกรณีที่สหรัฐฯ ได้ทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจประเทศกลุ่มนี้ และเป็นปัจจัยกดดันให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินตกต่ำ
โดยประเด็นดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มีต้นทุนสุทธิสกุลดอลลาร์ และบริษัทที่มีหนี้สินสุทธิสกุล ซึ่งมีการกู้เงิน หรือการนำเข้าเครื่องจักร ย่อมมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบประกอบด้วย 12 บจ. ได้แก่ THAI, AAV ,BGRIM, BCPG, EGCO, RATCH, GLOW ,PTTEP, PTT, TOP, IRPC และPTTGC
ทั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (11 ก.ย.61) โดยมองว่า ผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐที่เปิดศึกกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก ประกอบกับปัญหาของประเทศเกิดใหม่ที่เผชิญปัญหาขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงบางประเทศมีหนี้สาธารณะสูง เช่น เวเนซุเอล่า, อาร์เจนติน่า, ตุรกี เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจประเทศกลุ่มนี้ และเป็นปัจจัยกดดัน Fund Flow ให้ไหลออกอย่างต่อเนื่อง และกดดันค่าเงินตกต่ำในที่สุดดังที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศ อาทิ เวเนซุเอล่า ค่าเงินโบลิวาร์อ่อนค่ามากที่สุดของโลกราว 2.5 ล้าน% นับแต่ต้นปี (เป็น 248,519 โบลิวาร์ จากที่ทรงตัวที่ 9.9875 ในปีก่อนหน้า) ตามมาด้วยเงินเปโซอาร์เจนติน่าที่อ่อนค่า 101.2% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน และตุรกีที่ค่าเงินลีราอ่อนค่ามากถึงราว 70.7% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเช่นเดียวกับค่าเงินเอเซียที่กลับมาอ่อนค่ามากขึ้น หลังจากที่ทรงตัวหรือแกว่งตัวในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะค่าเงินรูเปียะห์ (อินโดนีเซีย) ค่าเงินเปโซ (ฟิลิปปินส์), รูปี (อินเดีย) และริงกิต (มาเลเซีย) ยกเว้นเงินบาท และเงินหยวนที่ยังคงทรงตัว
โดยรวมค่าเงินโลกที่ผันผวนไปในทิศทางอ่อนค่าย่อมส่งผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนที่ส่งออกสุทธิ และมีรายได้ในรูปดอลลาร์ บวกกับงวดไตรมาส 3/2561 เข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออก จึงน่าจะได้ประโยชน์สูงสุดคือ
กลุ่มที่มีรายได้สุทธิสกุลดอลลาร์สุทธิ (+) โดยทุก 1 บาทของเงินที่อ่อนค่า กำไรบริษัทที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ VNG, กลุ่มส่งออกชิ้นส่วนฯ อาทิ KCE, TU, CPF, SCCC, SVI และ THCOM, GFPT
ตรงข้ามบริษัทที่จะได้รับผลกระทบคือ บริษัทที่มีต้นทุนสุทธิสกุลดอลลาร์ (-) อาทิ กลุ่มขนส่งสายการบิน THAI, AAV เพราะโครงสร้างต้นทุนที่อยู่ในรูป USD คิดเป็นสัดส่วน 60% ของต้นทุนรวม อาทิ น้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าประกัน ค่าเช่าเครื่องบิน แต่รายได้ บางส่วนเป็นเงินสกุล USD ทำให้สุทธิแล้วได้รับผลกระทบบางส่วน
ทั้งนี้ยกเว้น BA บริษัทที่มีลักษณะ Natural Hedge เพราะมีรายได้และต้นทุนเป็นสกุลดอลลาร์ในอัตราใกล้เคียงกัน
ส่วนบริษัทที่มีหนี้สินสุทธิสกุลดอลลาร์ (-) ซึ่งมีการกู้เงิน และ/หรือการนำเข้าเครื่องจักร ย่อมมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น อาจจะกระทบเล็กน้อย เมื่อเทียบกับฐานกำไรจึงไม่มากนัก อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า BGRIM, BCPG, EGCO, RATCH, GLOW และกลุ่มปิโตรเคมี PTTEP, PTT, TOP, IRPC, PTTGC