3 โบรกฯ ฟันธงครึ่งปีหลังกำไร MEGA โตแกร่ง รับไฮซีซั่นหนุนยอดขายกระฉูด!
3 โบรกฯ ประสานเสียงฟันธงครึ่งปีหลังกำไร MEGA โตแกร่ง รับไฮซีซั่นหนุนยอดขายพุ่งกระฉูด!
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA หลังราคาหุ้น MEGA ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 4 วันติด นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 35.25 บาท เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2561 กระทั่งวานนี้ (17 ก.ย.) ปิดตลาดที่ 37.50 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.04% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 161.62 ล้านบาท
โดยจากการสำรวจบทวิเคราะห์พบว่า นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์วา ให้ราคาเป้าหมายหุ้น MEGA ที่ 50 บาทต่อหุ้น โดยในไตรมาส 3/2561 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งจะทำให้ยอดขายทั้งในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริการวมกว่า 32 ประเทศมีการเติบโตที่ดี, คำสั่งผลิตในธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ (OEM) เริ่มกลับมาฟื้นตัว และมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มอีกประมาณ 6-7
ทั้งนี้จึงคาดว่ากำไรสุทธิครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนโดย 1) รายได้จาก Mega We Care ที่ขยายตัวจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 2) รายได้ Maxxcare ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดย MEGA ได้เปิด Distribution center ที่พม่า เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา คาดทำให้รองรับลูกค้าได้มากขึ้น คาดกำไรสุทธิปี 61 จะสร้างสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 1,338 ล้านบาท เพิ่ม 20.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วน นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับคำแนะนำหุ้น MEGA จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” และปรับใช้ราคาปี 62 อยู่ที่ 44 บาทต่อหุ้น โดยว่าคาดการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก และจากปีก่อน เนื่องมาจากเป็น High Season (โดยเฉพาะในไตรมาส 4/61)
ประกอบกับธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care คาดจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มอีกราว 6-7 ผลิตภัณฑ์จากในครึ่งปีแรกที่วางจำหน่ายไปแล้ว 3 ผลิตภัณฑ์ รวมทั้งจากการสนับสนุนในกลุ่ม Bio Life และประโยชน์จาก Synergy ระหว่างกลุ่ม เช่น ในด้านผลิตภัณฑ์ การขยายฐานลูกค้าและโอกาสในการขยายธุรกิจในประเทศมาเลเซีย ฯลฯ
นอกจากนี้ในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare คาดจะฟื้นตัวดีต่อเนื่อง (โดยในครึ่งปีแรก รายได้อยู่ที่ 2,551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% เมื่อเทียบจากปีก่อน) เนื่องจากได้ลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มภายหลังที่สูญเสียลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งในประเทศเมียนมาไปเมื่อตอนต้นปี 60
อย่างไรก็ตามในธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) คาดจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีแรก และยังคงอ่อนลงจากปีก่อน เนื่องจากลูกค้ามียอดคำสั่งซื้อลดลง แต่จะไม่กระทบต่อการดำเนินงานอย่างมีนัย เนื่องจากรายได้ธุรกิจดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับกลุ่ม เพียง 3% (ในขณะที่รายได้ธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 52% และ ธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare ที่ 45%)
ทั้งนี้คาดกำไรในปี 61 นี้จะอยู่ที่ 1,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% เทียบจากปีก่อน (และคาดกำไรปกติอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท สูงขึ้น 9.7% เทียบจากปีก่อน) โดยคาดยอดขายจะเท่ากับ 10,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% เทียบจากปีก่อน
สำหรับการลงทุนในกิจการร่วมค้ากับบริษัท ” MSN” ในอินเดีย เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตยาฯในประเทศเมียนมา ด้วยงบลงทุนจำนวน 36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดจะเริ่มต้นก่อสร้างในปี 62 และเริ่มผลิตจำหน่ายได้ตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป
ส่วนการขยายโรงงานภายในประเทศเพื่อรองรับการผลิตในรูปแบบใหม่และเพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงงานเดิม คิดเป็นงบลงทุนราว 600 ล้านบาท โดยคาดจะพร้อมเปิดใช้งานได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 62 และการออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสุขภาพพร้อมดื่ม (MEGA-MALEE) ในขณะนี้ได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตจากอย.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดจะเริ่มวางจำหน่ายได้ในช่วงปลายปี 61 – ไตรมาส 1/62
ด้าน นักวิเคระห์ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” หุ้น MEGA ให้ราคาเป้าหมาย 39 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ารายได้จะเติบโต 8-10% สำหรับปี 61-63 โดยการเติบโตจะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง ทั้งนี้จากข้อมูลในเดือน ก.ค. – ส.ค. จากรายได้ของ Bio-Life ที่เพิ่มขึ้น หากตัด Bio-Life ออกรายได้ในช่วงครึ่งปีแรก ยังคงเพิ่มขึ้น 9.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่า SG&A จะกลับสู่ภาวะปกติส่งผลบวกต่อผลประกอบการ
ทั้งนี้นอกจากประเทศไทยแล้ว เมียนมายังเป็นอีกประเทศที่ MEGA ให้ความสนใจ โดยการทำ JV ล่าสุดร่วมกับ MSN จะช่วยในการก่อสร้างโรงงานเพื่อรองรับอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และจะใช้ประโยชน์จากความเป็นผู้นำในการจำหน่ายสินค้าของ MEGA ในเมียนมา
นอกจากนี้ บริษัทยังเห็นช่องทางการจำหน่ายยาสามัญที่เพิ่มขึ้น โดยการ JV ร่วมกับ MSN จะทำให้ MEGA เข้าถึงยาที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเช่น ยาสำหรับเบาหวาน และมะเร็ง