ดักเก็บ SPALI ฉายแววครึ่งปีหลังโตเด่น โบรกฯชี้กำไรพุ่งเฉียด 6 พันล้าน เคาะเป้า 28 บ.
ดักเก็บ SPALI ฉายแววครึ่งปีหลังโตเด่น โบรกฯชี้กำไรพุ่งเฉียด 6 พันล้าน เคาะเป้า 28 บ.
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับหุ้นบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI หลังมีนักวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 2561 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 3/61 และจะพีคสุดในช่วงไตรมาส 4/61
โดยนักวิเคราะห์ บล.เออีซี จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ช่วงไตรมาส 2/2561 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการโต 7.3% เทียบกับปีก่อน สู่ระดับ 6,445 ล้านบาท จากยอดโอนคอนโดและแนวราบ เช่น ศุภาลัย เวอรันดา รัตนาธิเบศร์ (เริ่มโอนช่วงไตรมาส 2/2561), บวกกับโครงการแนวราบที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 2/2561 อีก 4 โครงการ คือ ศุภาลัย เบลล่าเทพารักษ์, ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ ชลบุรี, ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ นครราชสีมา, ศุภาลัย เวอรันด้า สุขุมวิท 117 และคอนโดและแนวราบที่อยู่ระหว่างขายและโอนอีก 90 โครงการ
แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนุนดังกล่าวถูกหักล้างด้วย 1) อัตรากำไรขั้นต้นลดเหลือ 37.8% จาก 38.3% ในช่วงไตรมาส 2/2560 หลังรายได้จากการโอนแนวราบ (มาร์จิ้นต่ำ) มีสัดส่วนที่มากขึ้นที่ระดับ 51% ของรายได้จากการขายอสังหาฯ เมื่อเทียบกับคอนโด (มาร์จิ้นสูง) ซึ่งมีสัดส่วน 49 และ 2) SG&A/Sales เพิ่มเป็น 14.6% จาก 11.8% ในช่วงไตรมาส 2/2560 ด้วยผลประหยัดต่อขนาดที่ลดลงบวกกับมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขายของโครงการมากขึ้น จึงกดดันให้ช่วงไตรมาส 2/2561 SPALI มีอัตรากำไรสุทธิลดเหลือ 19.0% จาก 22.1% ในช่วงไตรมาส 2/2560 และมีกำไรสุทธิ 1,222 ล้านบาท หดตัว 8% จากปีก่อนตามคาด
ทั้งนี้ กำไรสุทธิช่วงครึ่งแรกของปี 2561 คิดเป็น 35.3% ของประมาณการทั้งปี ซึ่งยังคงประมาณการเดิม โดยคาดช่วงไตรมาส 3/2561 กำไรปกติโตกว่าไตรมาสก่อน และพีคสุดในช่วงไตรมาส 4/2561 ด้วยปัจจัยหนุนจากการทยอยโอน Backlog ในมือ 42,486 ล้านบาท โดยมีคอนโดที่จะเริ่มโอนในช่วงครึ่งหลังปี 2561 อีก 5 โครงการ คือ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท แจ้งวัฒนะ, ศุภาลัย มอนเต้ 2 เชียงใหม่, ศุภาลัย ลอฟท์ แคราย, ศุภาลัย ลอฟท์ ตลาดพลู และศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท ชลบุรี
อีกทั้ง มีโครงการแนวราบและคอนโดอีกกว่า 95 โครงการที่อยู่ระหว่างขายและโอน ส่งผลให้ปี 2561 คงคาด SPALI จะมีกำไรปกติ 5,930 ล้านบาท โต 10.6% จากปีก่อนตามประมาณการเดิมได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อ SPALI จากทั้งกำไรที่คาดโตเฉลี่ยปีละ 11.4% ในช่วง 2 ปีนี้ (2561-2562) บวกกับช่วงครึ่งหลังปี 2561 SPALI ยังมีแผนเปิดตัว 25 โครงการใหม่ในมูลค่ารวม 3.2 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายเปิดตัวปีนี้ที่ 35 โครงการ มูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท คาดหนุน Backlog ในมือสูงเกิน 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสามารถทยอยรับรู้ได้ถึงปี 2565 อีกทั้ง ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 17.2% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ที่ 28 บาท (PER 10.1 เท่า) และมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรช่วงครึ่งแรกปี 2561 หุ้นละ 0.40 บาท (XD 28 ส.ค.) จึงคงแนะนำ “ซื้อ” ในราคาเป้าหมาย 28 บาท/หุ้น
อนึ่งก่อนหน้านี้ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ไว้ที่ 26,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 11,158 ล้านบาท
ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังจะทำได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยแนวโน้มยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 3/2561 จะดีกว่าไตรมาส 2/2561 ที่มียอดโอนกรรมสิทธิ์ 6,361 ล้านบาท และในช่วงไตรมาส 4/2561 ยอดโอนกรรมสิทธิ์จะใกล้เคียงกับไตรมาส 3/2561 ซึ่ง ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 11,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปถึงปี 2565
ส่วนยอดขาย (Presale) ปีนี้บริษัทคาดว่าจะทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ 33,000 ล้านบาท โดยในช่วง 8 เดือนแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) บริษัทมียอดขายแล้วมากกว่า 20,000 ล้านบาท และในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเศรษฐกิจยังทรงตัว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นมีเพิ่มขึ้น มั่นใจยอดขายจะทำได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดยในช่วงวันที่ 28-30 กันยายน 2561 นี้ บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการ ศุภาลัย เวอเรนด้า รามคำแหง มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท อย่างเป็นทางการ และจะเปิดจองผ่านทาง Supalai Online Booking ครั้งแรกในวันที่ 18 กันยายนนี้ เวลาตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน เพียงวันเดียวเท่านั้น โดยจะแบ่งห้องชุดให้สิทธิ์จองทางช่องทางดังกล่าวประมาณ 10% ของโครงการ ซึ่งคาดว่าในวันเปิดขายอย่างเป็นทางการจะมียอดขายที่ประมาณ 40-50% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนสนใจโครงการแล้วมากกว่า 1,000 ราย ในช่วงระยะเวลา 1 สัปดาห์
สำหรับโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัย จำนวน 1 อาคาร 3 ทาวเวอร์ Tower A สูง 33 ชั้น Tower B สูง 35 ชั้น Tower C สูง 27 ชั้น จำนวนห้องชุดพักอาศัย 2,073 ยูนิต มีห้องชุดให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ ห้องชุดแบบ 1.Studio ขนาด 28-30 ตารางเมตร 2.ห้องชุด 1 Bedroom ขนาด 35-42 ตารางเมตร 3.ห้องชุด 1 Bedroom Plus ขนาด 42-44 ตารางเมตร และ 4.ห้องชุด 2 Bedrooms ขนาด 59-67 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ 1.89-5.4 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ซึ่งเดิมบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีกจำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ มูลค่าโครงการประมาณ 12,000 ล้านบาท และโครงการขนาด 1,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งทำยอดขายในปีนี้
ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการใหม่ มีอัตราการดูดซับสินค้าดีกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจทรงตัว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นมีเพิ่มมากขึ้น สำหรับลูกค้าคนไทยมีการซื้อเพื่อเก็งกำไรน้อยลงกว่าเดิม ขณะที่ลูกค้าซื้อเพื่ออยู่จริงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น