BGC ยักษ์ใหญ่วงการขวดแก้ว ลงเทรดวันแรกลุ้นวิ่งทะลุ 13 บ. รับพื้นฐานแกร่งเติบโตสูง!

BGC ยักษ์ใหญ่วงการขวดแก้ว ลุ้นเทรดวันแรกวิ่งทะลุ 13 บ. รับพื้นฐานแกร่งเติบโตสูง!


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (18 ต.ค.) บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โดยมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับ ตลท. และหุ้นชำระแล้ว 694,444,000 หุ้น พาร์หุ้นละ 5 บาท คิดเป็นทุนชำระแล้ว 3,472,220,000 บาท

ทั้งนี้ BGC เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 194,444,000 หุ้น ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 10.20 บาท และมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดย BGC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อาหาร และยา

โดย BGC เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิต จัดจำหน่าย ส่งออก และนำเข้าบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ของประเทศไทย โดย BGC และ กลุ่มบริษัทย่อยมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 3,095 ตันต่อวัน และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วและเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรี คาดว่าสามารถเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้ BGC มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3,495 ตันต่อวัน

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ ผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วให้กับบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มและอาหารที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล อุตสาหกรรม (ผู้ผลิตเครื่องดื่มกระทิงแดง) กรีนสปอต สยามไวเนอรี่ เป็นต้น รวมทั้งบรรจุภัณฑ์แก้วประเภทขวดอาหาร ขวดยาและยาฆ่าแมลง และขวดผลิตภัณฑ์อื่นๆ

โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้ส่วนใหญ่จากบรรจุภัณฑ์แก้วประเภทขวดเบียร์และขวดเครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ คิดเป็น 72% ของรายได้รวม ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการส่งออกบรรจุภัณฑ์แก้วหลายประเทศ ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม สวิสเซอร์แลนด์ สเปน ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ เป็นต้น คิดเป็นมูลค่าส่งออก 18% ของรายได้รวม

ขณะเดียวกัน นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ BGC เปิดเผยว่า การระดมทุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ มีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น รองรับการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ นำไปสู่การเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์แก้วที่ครบวงจร

โดย BGC มีทุนชำระแล้ว 3,472.22 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 194.44 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวน 194.44 ล้านหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 8-10 ตุลาคม 2561 ในราคาหุ้นละ 10.20 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,983 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์  ณ ราคา IPO 7,083 ล้านบาท โดยมี บล.กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ขณะที่ภายหลัง IPO BGC มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ บมจ. บางกอกกล๊าส  ถือหุ้น 72% กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว ถือหุ้น 0.63% และ บมจ. กรุงเทพประกันภัย  ถือหุ้น 0.58% ทั้งนี้ ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขาย IPO หุ้นละ 10.20 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 17.7 เท่า ซึ่งคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (1 กรกฎาคม 2560-30 มิถุนายน 2561) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 400.3 ล้านบาท เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ 694.44 ล้านหุ้น (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.58 บาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังหักภาษีและเงินสำรองตามที่กฎหมาย และข้อบังคับของบริษัทฯ กำหนด โดยมีเงื่อนไขว่าการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความเหมาะสมอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการบริษัทเห็นสมควร

ด้าน นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เปิดเผยว่า BGC เป็นบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในประเทศไทย จึงมีความได้เปรียบด้านการควบคุมต้นทุนการผลิตต่อหน่วยให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีโรงงานที่กระจายตัวอยู่ในหลายจังหวัด ส่งผลดีการบริหารต้นทุนโลจิสติกส์และการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบที่มีต้นทุนที่เหมาะสม

ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์แก้วเป็นสินค้าที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย และคาดว่าจะมีความต้องการใช้สินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ 100% และซัพพลายในตลาดยังมีจำกัดเนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย” นายพงศ์ศักดิ์ กล่าว

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมิน Equity value ไว้ที่ 9,646 ล้านบาท อิง EPS ปี 2562 ที่ 1.04 บาท และ PER ของกลุ่มที่ 13.37 เท่า สำหรับประเด็นการลงทุนประกอบด้วย 1) การเติบโตไปตามอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะเบียร์ ซึ่งในอดีตเติบโต CAGR 4.4% ปี 2544-2560 และ 2) เป็นผู้ผลิตแก้วที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด (ในแง่ของกำลังการผลิต) มากที่สุดในประเทศไทย

รวมทั้ง 3) กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจากโรงงานใหม่ที่ราชบุรี ซึ่งคาดจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 4/61 จะหนุนกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 13% จากในปัจจุบัน, 4) ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นลูกค้ารายใหญ่ (กลุ่มบุญรอด บริวเวอรี่) หนุนความมั่นคงของรายได้ และยังมีสัญญา minimum off-take agreement (ยอดสั่งซื้อขั้นต่ำต่อปี) อีกทั้งลูกค้าของบริษัทบางรายยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทย่อยของบริษัท และบริษัทแม่ของบริษัท

นอกจานี้ยังคาดการเติบโตของกำไรเฉลี่ยปี 2561-2563 ที่ 48% ต่อปี หนุนโดยราคาต้นทุนที่ลดลง ค่าใช้จ่ายที่ลดลง และการขยายกำลังการผลิต และเรายังมองว่าบริษัทมีกระแสเงินสดและ EBITDA ที่แข็งแกร่ง ซึงประเมินอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 50% (นโยบายบริษัทอยู่ที่ 40%) อิงตาม Equity value ที่เราประเมิน เราคาดผลตอบแทนเงินปันผลไว้ที่ 3.7% ในปี 2562

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า ราคาหุ้น BGC เข้าซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก (18 ต.ค.61) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นทะลุ 13 บาท จากราคา IPO ที่ระดับ 10.20 บาท ซึ่งที่ผ่านมาราคาหุ้นของหลักทรัพย์ที่เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ส่วนใหญ่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือราคา IPO ได้ประมาณ 20% จึงคาดว่า BGC จะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ในราคาดังกล่าว

Back to top button