เปิดโผ“หุ้นบลูชิพ” 10 เดือนลงมากกว่าขึ้น! แนะเก็บ 18 หุ้นเป้าซื้อคืนหลังรูดหนักเกิน 10%
เปิดโผ“หุ้นบลูชิพ” 10 เดือนลงมากกว่าขึ้น! แนะเก็บ 18 หุ้นเป้าซื้อคืนหลังรูดหนักเกิน 10%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่ม SET50 ในรอบ 10 เดือน โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-31 ต.ค.61 โดยทิศทางราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่กดดันการลงทุนมากสุด
โดยเห็นได้จากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาถือว่าผันผวนมากตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ถูกแรงเทขายอย่างหนัก (Global Market Sell-off) ถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปี และวิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้เดิมจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่มีสัญญาณเร่งตัวขึ้น
บรรยากาศดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานมาตลอดเดือน ต.ค. จนทำให้ Expected P/E ปี 2562 อยู่ที่ 14.5 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับ Valuation ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่ม SET50 ซึ่งโดนเทขายอย่างหนักจนราคาหุ้นบางตัวต่ำกว่าพื้นฐาน
ดังนั้นทางทีมงาน“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการสำรวจหุ้นกลุ่ม SET50 มานำเสนอ โดยได้ทำการสำรวจทั้งกลุ่มหุ้นที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นและปรับตัวลงแรงมานำเสนอดังตารางประกอบ
สำหรับกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงโดดเด่นในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมามีทั้งหมด 19 ตัว คือ KTC,PTTEP,MTC,BDMS, HMPRO,PTT,BEM,BTS,GLOBAL,EGCO,CPF,TRUE,KTB,TOA,GLOW,ADVANC,BBL,BH และ IVL
ด้านหุ้นที่ปรับฐานลงแรงและมีโอกาสดีดกลับ 31 ตัว อาทิ LH,BGRIM,DTAC,EA,INTUCH,DELTA,AOT,TCAP, BPP,CPN,SCB,PTTGC,RATCH,KKP,ROBINS,BANPU, TISCO,CPALL, IRPC,SCC,KBANK, BJC,MINT,TU,SPRC,TOP,GPSC,TMB,CENTEL,CBG,BEAUTY
ทั้งนี้หากสังเกตกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลงแรงท้ายตารางจะพบว่ามีหุ้น 18 ตัวที่ราคาร่วงแรงเกิน 10% และที่น่าสนใจเป็นกลุ่มที่นักวิเคราะห์มองว่าราคาร่วงแรงและคาดจะเป็นเป้าหมายซื้อกลับรอบใหม่ ตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เลือกหุ้นพื้นฐานเข้าพอร์ตอีกครั้ง
โดยบล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุว่า หุ้นที่เป็นเป้าหมายซื้อคืน – หุ้นที่ถูกเปิดสถานะ short มากที่สุดในเดือน ต.ค. และมีโอกาสตกเป็นเป้าหมายการซื้อคืน (ถูกขายมากสุดไปน้อยสุด) ได้แก่ PTTEP, KBANK, PTTGC, BEAUTY, PTT, CPALL, TOP, IVL, MTC, SCB, EA, BBL, KTC, IRPC, AOT, ADVANC, BANPU, AMATA, TRUE, WORK, MINT, KTB, SCC, CBG, WHA
ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาถือว่าผันผวนมากตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ถูกแรงเทขายอย่างหนัก (Global Market Sell-off) ถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปี วิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้เดิมจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่มีสัญญาณเร่งตัวขึ้น
ภาวะดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานมาตลอดเดือน ต.ค. จนทำให้ Expected P/E ปี 2562 อยู่ที่ 14.5 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับ Valuation ที่น่าสนใจเข้าลงทุน จึงเชื่อว่า downside risk ของ SET Index น่าจะจำกัด อีกทั้งตลาดหุ้นไทยถูกกดดันมานานและปรับลดลงมากกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว จึงเป็นตัวช่วยจำกัดกรอบในการปรับฐานลง
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน