เปิดงบฯ 9 หุ้นโรงพยาบาล ชู BDMS เด่นสุดฟาดกำไร2.88พันลบ.ลุ้นไตรมาส4โตต่อ!
เปิดงบฯ 9 หุ้นโรงพยาบาล โบรกฯชู BDMS เด่นสุดฟาดกำไร 2.88 พันลบ.แนวโน้มไตรมาส 4 โตต่อ!
สิ้นสุดการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วเมื่อวันที่ 15 พ.ย.2561 โดยในวันนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จะทำการสำรวจและรวบรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์ ประกอบด้วย VIBHA, BCH, BH, VIH,PRINC,BDMS ,LPH ,PR9,THG
ทั้งนี้จากผลการสำรวจพบว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นในไตรมาสดังกล่าวถือว่าเป็นการปรับขึ้นที่ต่ำกว่าคาดการณ์ เนื่องจากในไตรมาส 3 มีปัจจัยบวกเป็นช่วยไฮซีซั่นจากฤดูฝน โดยนักวิเคราะห์มองว่า BDMS เป็นหุ้นที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล หลังทำกำไรสุทธิไตรมาส 3/2561 ได้เติบโต 19.16% ขณะที่ไตรมาส 4/2561 ยังได้รับผลบวกจากภาระดอกเบี้ยที่ลดลงและรพ.ใหม่เริ่มทยอยสร้างกำไร
อันดับที่ 1 บริษัท ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) หรือ VIH รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 69.45 ล้านบาท ปรับตัวขึ้น 37.79% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 50.40 ล้านบาท
ทั้งนี้ในไตรมาสดังกล่าวบริษัทมีรายได้จากกิจการโรงพยาบาล เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันเมื่อปีก่อนจำนวน 77.55 ล้านบาท จากรายได้ทั่วไป รายได้ตรวจสุขภาพภายนอก และรายได้ศูนย์หัวใจของบริษัทย่อย 1 แห่ง รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
อันดับที่ 2 บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 2.88 พันล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.16% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2.42 พัน ล้านบาท
อันดับที่ 3 บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 356.53 ล้านบาท ปรับตัวขึ้น 17.83% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 302.57 ล้านบาท
บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 1.13 พันล้านบาท ปรับตัวขึ้น 6.97% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1.06 พันล้านบาท
อันดับที่ 4 บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 87.33 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.68% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 81.10 ล้านบาท
อันดับที่ 5 บริษัท โรงพยาบาล ลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 49.60 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.88% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 46.41 ล้านบาท
อันดับที่ 6 บริษัท โรงพยาบาลวิภาวดี จำกัด (มหาชน) หรือ VIBHA รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 221.87 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 25.59% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 298.18 ล้านบาท
โดยในไตรมาสดังกล่าวบริษัทมีกำไรสุทธิลดลงเนื่องจากบริษัทมีรายได้รวมลดลงจากรวมรายได้จากการรักษาพยาบาลของบริษัท เชียงใหม่รามธุรกิจการแพทย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยจำนวน 997.04 ล้านบาท ซึ่งลดลง 5.06% เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมเรียกคืนเงินรับของปี 2558 จำนวน 85.41 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 6.41% เนื่องจากต้นทุนในการรักษาพยาบาลของ บริษัทเชียงใหม่รามธุรกิจการแพทย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเพิ่มขึ้น 11.76% จากรายได้ประกันสังคมที่ลดลง
อันดับที่ 7 บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีกำไรสุทธิ 96.28 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 43.69% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 171 ล้านบาท
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวมีกำไรลดลง เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น
อันดับที่ 8 บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2561 มีผลขาดทุนสุทธิ 12.72 ล้านบาท คิดเป็นการขาดทุนลดลง 55.04% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 28.29 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวขาดทุนลดลงเนื่องจาก บริษัทมีรายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น 117.5 ล้านบาท หรือ 23.7% เนื่องจากโรงพยาบาล พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ จำนวน 62.5 ล้านบาท ที่บริษัทซื้อกิจการเข้ามาในช่วงต้นปี 2561 ขณะที่รายได้ทั้ง 3 โรงพยาบาลเดิมเพิ่มขึ้น 52.80 ล้านบาท จากจำนวนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในที่เพิ่มขึ้น
อนึ่งเมื่อวันที่ 18 ต.ค.2561 บริษัทฯ เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการขยายธุรกิจมาในด้านธุรกิจการแพทย์ ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีรายได้ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 75 มาจากธุรกิจการแพทย์ และจะหยุดขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยจะไม่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมจากปัจจุบัน
ด้าน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” BDMS ราคาเป้าหมาย 30 บาท/หุ้น โดยมองว่าไตรมาส 3/2561กำไรยังเติบโตถึง 19.2% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 41% จากไตรมาสก่อน โดดเด่นสุดในกลุ่มโรงพยาบาล แม้รายได้ค่ารักษาพยาบาลจะเติบโตเพียง 6% จากปีก่อน แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าเสื่อมราคาเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่ารายได้คือ 5% จากปีก่อน
รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงถึง 172 ล้านบาท เนื่องจากหุ้นกู้แปลงสภาพที่บริษัทออก 18 ก.พ. 2557 จำนวน 1 หมื่นล้านบาท มีผู้มาใช้สิทธิแปลงสภาพก่อนครบไถ่ถอนปี 2562 ที่ราคาใช้สิทธิ 21.045 บาท แล้ว 1,560 ล้านบาท บวกกับบริษัทได้มีการบันทึกบัญชีดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ดังกล่าว แบบอนุรักษ์นิยมมาตั้งแต่ต้นจนในปีนี้ไม่ต้องบันทึกดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้แปลงสภาพอีกต่อไป
ทั้งนี้ไตรมาส 4/2561 ยังได้รับผลบวกจากภาระดอกเบี้ยที่ลดลงและรพ.ใหม่เริ่มทยอยสร้างกำไร แม้ผลจากฤดูกาลจะทำให้รายได้ของรพ.ในกลุ่ม มีโอกาสอ่อนตัวจากงวดไตรมาส 3/2561 แต่คาดว่ารายได้จะยังเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าไม่ต่ำกว่า 6%
ขณะที่รพ.ใหม่ ๆ ที่เข้าไปลงทุนจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มทยอยสร้างกำไรเกือบทุกแห่งแล้ว ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังมีแนวโน้มเติบโตน้อยกว่ารายได้ อีกทั้งดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงดังกล่าวข้างต้น บวกกับในวันที่ 12 พ.ย. 2561 BDMS ได้ซื้อหุ้น BH เพิ่มอีก 32 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ BH เพิ่มขึ้น 4.38% เป็น 24.88% ทำให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก BH เพิ่มขึ้นตั้งแต่งวดไตรมาส 4/2561 เป็นต้นไป จึงคาดว่ากำไรของ BDMS ในงวดไตรมาส 4/2561จะเติบโตได้เกิน 15% และเป็นกำไรปกติปี 2561 เติบโตได้ราว 22% ขณะกำไรสุทธิทรงตัวจากปีก่อนหน้า เพราะปีก่อนมีกำไรพิเศษหลังภาษี 2,195 ล้านบาท จากการขายเงินลงทุน BH บางส่วน
ทั้งนี้ คาดกำไรปี 2562 จะเติบโตต่อได้ราว 11% ทั้งนี้ในปี 2562 ยังได้รับอานิสงค์จากการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากรพ.ใหม่ ๆ ที่ทยอยทำกำไรได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งแนวโน้มภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง แต่คาดจะถูกหักล้างบางส่วนจาก BDMS Wellness Center ที่คาดจะเปิดอย่างเต็มรูปแบบในปี 2562 โดยปัจจุบันได้เปิดเฉพาะส่วนของ BDMS Wellness Center ซึ่งมีคลินิกดูแลสุขภาพ 7 คลินิก โดยปัจจุบัน BDMS ได้ทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท Movenpick Hotel & Resorts เพื่อมาบริหาร โรงแรม Movenpick BDMS Wellness Resort Bangkok มีแผนเปิดในปี 2562 ซึ่งคาดจะใช้เวลาคุ้มทุนราว 3-4 ปี ภายใต้ประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม จึงคาดกำไรของ BDMS ในปี 2562 จะเติบโตได้ราว 11%
ทั้งนี้ มองว่าเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการขยายเครือข่ายรพ.ใหม่จำนวนมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จึงแนะนำ “ซื้อ” และเลือกเป็น Top pick กลุ่ม รพ. โดยมีราคาเป้าหมายปี 2562 อิงวิธี DCF อยู่ที่ 30 บาท มี Upside 22%
อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากการที่ BDMS Wellness Center เป็นโครงการขนาดใหญ่ เมื่อเปิดเต็มรูปแบบ โดยมี โรงแรม Movenpick BDMS Wellness Resort Bangkok คาดจะมีผลขาดทุนในช่วง 3-4 ปีแรก
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน