ดักเก็บ EA ลุ้นกำไรปีนี้ “นิวไฮ” ทะลุ 5 พันลบ. รับรายได้ขายไฟพุ่งกระฉูด

ดักเก็บ EA ลุ้นกำไรปีนี้ "นิวไฮ" ทะลุ 5 พันลบ. รับรายได้ขายไฟพุ่งกระฉูด ฟากโบรกฯเคาะเป้าสูง 65 บ.


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ภายหลังมีการรายงานว่าในช่วงกลางเดือนธ.ค.นี้ บริษัทเตรียมจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าหนุมาน จ.ชัยภูมิ จำนวน 180 เมกะวัตต์ (MW)

สำหรับ โครงการหนุมาน มีขนาดกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ (MW) ประกอบด้วย 5 โครงการย่อย ได้แก่ สัญญาที่ 1, 5, 8, 9 และ 10 ซึ่งในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2561 จะเริ่ม COD โครงการย่อย 4 โครงการ (สัญญาที่ 1, 5, 8 และ 9) ขนาดกำลังการผลิตรวม 180 MW ส่วนสัญญาที่ 10 ขนาดกำลังการผลิต 80 MW จะเริ่ม COD ในเดือนมกราคม 2562 เนื่องจากจะต้องรอการตรวจการเชื่อมต่อสายส่งไฟฟ้าเข้าระบบ

ดังนั้น แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2561 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงหมดฤดูฝน ทำให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับเข้าสู่ฤดูหนาว ส่งผลให้มีกระแสลมแรงจึงถือเป็นปัจจัยบวกต่อโรงไฟฟ้าพลังงานลม ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้ดีเช่นกัน

ขณะที่ภาพรวมผลประกอบการงวดปี 2561 จะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) เนื่องจากโครงการพลังงานของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตที่ COD แล้วจำนวน 404 MW แบ่งเป็น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 278 MW และโครงการพลังงานลม จำนวน 126 MW ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัท COD โครงการหนุมาน ขนาดกำลังการผลิตรวม 180 MW จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตที่ COD จำนวน 584 MW ภายในปี 2561

ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 100 เมกะวัตต์ ในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนในโครงการใหม่ (greenfeild) ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเรื่องโครงสร้าง คาดว่าใช้งบลงทุนไม่เกินหลักพันล้านบาท จะมีความชัดเจนได้ในช่วงต้นปี 62

รวมถึงบริษัทยังสนใจลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนอื่น ๆ ซึ่งมองเห็นโอกาสการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งได้เจรจาอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจใหม่ ๆ จะเข้ามาช่วยเสริมฐานธุรกิจให้แข็งแรงขึ้น และมีโอกาสให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในปีหน้าด้วย

 

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า กำไรปกติในช่วง 9 เดือนแรกปี 2561 ของ EA อยู่ที่ 3,461 ล้านบาท เติบโต 9% จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิ 4,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากปีก่อน หรือคิดเป็น 79% ของประมาณการทั้งปี

ขณะที่แนวโน้มกำไรจากนี้จะสร้างฐานในระดับ 1 พันล้านบาทขึ้นไปต่อไตรมาส โดยการเติบโตในปี 2562 จะมาจากกำลังการผลิตชุดสุดท้าย 260MW (รวมเป็น 664MW) ที่ทยอย COD ในปลายปีนี้ อีกทั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่จะติดตั้งครบ 1,000 แห่งสิ้นปีนี้ รถยนต์ไฟฟ้าที่บริษัทออกแบบและจ้างผลิต (แบรนด์ MINE Mobility) เริ่มจำหน่ายในช่วงครึ่งหลังปี 2562 แบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออน 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง จะเริ่มขายปลายปีหน้า รวมถึงโครงการ Green diesel ที่นำธุรกิจเดิมมาต่อยอด

โดยยังคงคาดกำไรสุทธิปีนี้ 5.3 พันล้านบาท เติบโต 40% จากปีก่อน และปีหน้า เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน เป็น 6.1 พันล้านบาท (กำไรปกติ  เพิ่มขึ้น 18% และ 38% จากปีก่อนตามลำดับ) ราคาหุ้นปัจจุบันมี PE 34.7 เท่าปีนี้ จะลดลงเหลือ 30 เท่าสิ้นปีหน้า ยังคงแนะนำซื้อ ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปีหน้า 65 บาท

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส ระบุว่า ขณะนี้กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น EA ในราคาพื้นฐานปี 2562 ที่ระดับ 51.50 บาท โดยมองกำไรในช่วงไตรมาส 4/61 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ทำระดับสูงสุดของปีรายไตรมาส มาอยู่ที่ราว 1.3 พันล้านบาท โดยมีแรงหนุนจากการทยอย COD โรงไฟฟ้าพลังลมหนุมาน 5 โครงการรวม 260 MW ในงวดไตรมาส 4/61 (ภายใต้สมมติฐาน COD ได้ทันตามแผน)

อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากช่วง high season ของโรงไฟฟ้าพลังลม ซึ่งความเร็วลมจะสูงขึ้นมากในเดือน ธ.ค. ตามสถิติในอดีต รวมถึงโรงไฟฟ้าโซลาร์ที่ผลิตไฟฟ้าได้สูงขึ้น เนื่องจากมีความเข้มแสงที่ดีขึ้นแม้จะเข้าสู่ช่วงสู่ฤดูหนาวและไม่มีฝนตกเหมือนในงวดก่อนหน้า ส่วนกำไรธุรกิจไบโอดีเซลคาดดีขึ้นเล็กน้อยตามฤดูกาลขับขี่ปลายปี

สำหรับทิศทางกำไรปี 2562 มีปัจจัยหนุนจากการรับรู้โรงไฟฟ้าพลังลมหนุมาน (260 MW) ที่จะ COD งวดไตรมาส 4/61 และโครงการ Energy Storage (ES) เฟส 1 (1 GWh) ที่จะ COD งวดไตรมาส 3/62 แต่ในส่วนของธุรกิจ ES มองว่าเป็นธุรกิจที่ใหม่สำหรับ EA จึงยังคงมีความเสี่ยง ซึ่งหากผลิตไม่ได้ตามแผน มีโอกาสที่กำไรจะลดลงจากประมาณการปัจจุบันราว 800 ล้านบาท/ปี ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป คิดเป็นมูลค่าพื้นฐาน 6.5 บาท/หุ้น ส่วน ES เฟส 2 อีก 49 GWh ตามที่บริษัทเผยยังต้องรอดูความสำเร็จของเฟส 1 ก่อน

อีกทั้งยังมีรายละเอียดการลงทุนไม่ชัดเจน รวมถึงเชื่อว่าการรับซื้อไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ในไทยจะยังไม่เกิดเร็วๆ นี้ เนื่องจากปริมาณสำรองไฟฟ้าที่มีมากจึงยังไม่รวมในประมาณการ

Back to top button