จังหวะเก็บ EA โบรกฯชี้กำไรปี 62 ทำ “ออลไทม์ไฮ” แตะ 7.6 พันลบ. รับโครงการ “หนุมาน” หนุน
จังหวะเก็บ EA โบรกฯชี้กำไรปี 62 ทำ “ออลไทม์ไฮ” แตะ 7.6 พันลบ. รับโครงการ “หนุมาน” หนุน ชูเป้าสูงสุด 65 บ. ดันอัพไซด์สูงลิ่ว 50%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA หลังมีนักวิเคราะห์หลายแห่งกำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น EA โดยให้ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ระดับ 65 บาทต่อหุ้น หลังประเมินแนวโน้มกำไรปี 62 เติบโตต่อเนื่องจากเตรียมรับรู้ผลการดำเนินงานที่มากขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมาน ขนาดกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ (MW) ที่จะเริ่มทยอยเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/61 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตรวมมาอยู่ที่ระดับ 664 เมกะวัตต์
ขณะที่ธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่ เฟส 1 ขนาดกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) คาดว่าจะเข้ามาช่วยส่งเสริมให้ผลประกอบการมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นจากแผนที่จะเริ่มขายในช่วงครึ่งหลังของปี 62 พร้อมเตรียมรับรู้รายได้จากการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลังเซ็นสัญญาความร่วมมือเพื่อส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า (EA) ให้กับลาว
ส่วนธุรกิจไบโอดีเซล คาดว่าจะกลับมาขับเคลื่อนให้ผลการดำเนินงานของ EA เติบโตได้ในอนาคต จากที่เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์กรีนดีเซลแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 62 หลังที่ผ่านมาธุรกิจไบโอดีเซลเป็นตัวกดดันภาพรวมกำไรมาตลอดจากราคาน้ำมันปาล์มที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ด้านนักวิเคราะห์บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ทิศทางกำไรปี 62 ของ EA มีโอกาสทำ New high จากการรับรู้โรงไฟฟ้าพลังลมหนุมาน 260 เมกะวัตต์ ที่จะเริ่มทยอยจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ในไตรมาส 4/61 และโครงการผลิตแบตเตอรี่ เฟส 1 ขนาด 1 GWh ที่จะเปิดดำเนินการในช่วงไตรมาส 3/62 ทั้งนี้ แม้ราคาหุ้น EA จะปรับฐานลงมาบ้างในช่วงที่ผ่านมาแต่ยังคงมี upside จำกัด จึงเน้นเข้าลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว
นอกเหนือจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่อยู่ระหว่างศึกษาแล้ว ปัจจุบันยังให้น้ำหนักไปที่ธุรกิจใหม่ๆ ที่มองว่าจะเป็นเทรนด์ของโลกในอนาคต ได้แก่ ธุรกิจแบตเตอรี่ และธุรกิจสถานีชาร์ตรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging)
ส่วนธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจกรีนดีเซลกับสารแปลงสภาพ (PCM) ถือเป็นธุรกิจสำคัญที่คาดจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของ EA จากนี้ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ยังไม่ค่อยมีผู้ดำเนินการ การแข่งขันจึงค่อนข้างน้อย แต่ EA เชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีและบุคลากรที่มีอยู่จะสามารถทำได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าถึงแม้ธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะเป็นเทรนด์ของอนาคตและมีความเป็นไปได้ แต่ด้วยขั้นตอนที่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและมีความเสี่ยงสูง จึงถือเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป ซึ่งหากเกิดขึ้นได้จริงจะถือเป็น upside
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มกำไรของ EA มีการเติบโตต่อเนื่อง จากคาดการณ์กำไรปกติปี 61 เติบโต 18% จากปี 60 ส่วนปี 62 เติบโต 38% จากปี 61 จากกำไรปกติ 9 เดือนแรกของปี 61 ที่อยู่ระดับ 3,461 ล้านบาท เติบโต 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิ 4,206 ล้านบาท เติบโต 44% จากปีก่อน หรือคิดเป็น 79% ของประมาณการทั้งปี
สำหรับแนวโน้มกำไรจากนี้จะสร้างฐานในระดับ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปต่อไตรมาส โดยการเติบโตในปีหน้าจะมาจากกำลังการผลิตชุดสุดท้าย 260 เมกะวัตต์ ที่ทยอย COD ในปลายปี 2561 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตที่ COD แล้วรวมเป็น 664 เมกะวัตต์ สถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่จะติดตั้งครบ 1,000 แห่งสิ้นปีนี้ รถยนต์ไฟฟ้าที่บริษัทออกแบบและจ้างผลิต แบรนด์ MINE Mobility เริ่มจำหน่ายในครึ่งหลังปี 62 ธุรกิจแบตเตอรี่ 1 GWh จะเริ่มขายปลายปีนี้ และโครงการกรีนดีเซล ที่นำธุรกิจเดิมมาต่อยอด
ทั้งนี้ คงคาดการณ์กำไรสุทธิของ EA ในปี 2561 อยู่ที่ระดับ 5,300 ล้านบาท หรือเติบโต 40% และปีหน้าเติบโต 15% เป็น 6,100 ล้านบาท ราคาหุ้นปัจจุบันมี P/E 34.7 เท่าปีนี้ จะลดลงเหลือ 30 เท่าสิ้นปี 62
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า กำไรของ EA มีแนวโน้มสดใสต่อเนื่อง โดยปี 61 คาดกำไรที่ 5,973 ล้านบาท, ปี 62 ที่ 7,676 ล้านบาท และปี 63 ที่ 8,454 ล้านบาท มีปัจจัยหลักมาจากเตรียมรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหนุมานที่เตรียมทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 61 ถึงต้นปี 62 ซึ่งจะสนับสนุนกำไรสุทธิปี 61 และปี 62 ที่ 970 ล้านบาท และ 2,300 ล้านบาท ตามลำดับ
โดยหลังจากนั้นธุรกิจแบตเตอรี่เฟสที่ 1 ขนาดกำลังการผลิต 1 GWh จะเป็นตัวสนับสนุนการเติบโตหลักในปี 63 โดยคาดว่าจะสร้างกำไรได้ราว 500 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1,800 ล้านบาท ในปี 64 บนสมมติฐานของ Capacity Factor เริ่มต้นที่ 65% ในปี 63 และขยับขึ้นเป็น 75% ในปี 64 นอกจากนั้น ล่าสุด EA ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือ (MOU) ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แก่สปป. ลาว 400,000 คัน โดยจะทยอยรับรู้รายได้ ซึ่งยังต้องรอความชัดเจน โดยมองเป็นพัฒนาการที่ดีสำหรับธุรกิจผลิตรถยนต์ EV เช่นกัน
ส่วนธุรกิจไบโอดีเซลมองว่าจะเริ่มกลับมามีอนาคตอีกครั้ง หลังจาก EA เริ่มหันมาทำผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างกรีนดีเซล ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นดีกว่า และสามารถนำไปใช้ได้กับรถหลายประเภทมากกว่าเมื่อเทียบกับ B100 ที่สามารถนำไปใช้กับรถบรรทุกได้เพียงอย่างเดียว ปัจจุบัน EA เริ่มก่อตั้งโรงงานผลิตกรีนดีเซลแล้ว คาดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 62 จากเดิมที่ธุรกิจไบโอดีเซลเป็นตัวกดดันภาพรวมกำไรมาตลอดจากราคาน้ำมันปาล์มที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากภาวะซัพพลายล้นตลาด