ดักเก็บ 12 หุ้นกลาง-ใหญ่ เตรียมรับเม็ดเงินหนาหลัง FTSE เพิ่มน้ำหนักลงทุน
ดักเก็บ 12 หุ้นกลาง-ใหญ่ เตรียมรับเม็ดเงินหนาหลัง FTSE เพิ่มน้ำหนักลงทุน
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบทวิเคราะห์ที่กล่าวถึงการให้น้ำหนักหุ้นไทยของ FTSE เนื่องจากประเด็นดังกล่าวจะส่งผลให้หุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนักมีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรงก่อนวันประกาศใช้จริงคือ 15 มีนาคม 2562
โดย บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า FTSE เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย ในดัชนี All World Asia Pacific ขึ้นสู่ 1.87% จาก 1.83% มีผล 15 มี.ค. หนุนแรงซื้อในกลุ่มหุ้นที่ถูกจัดเข้าในดัชนีโดย หุ้นใหญ่ (+) HMPRO, GULF, EA, MINT, MAKRO, BEM, DIF / หุ้นขนาดกลาง (+) MTC, GPSC/ หุ้นเล็ก เข้า (+) AEONTS, EGATIF, WHART โดยมีหุ้นที่ถูกปรับออก (-) IMPACT, VIBHA, CCET, FPT
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า FTSE ประกาศเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย จาก 1.83% สู่ระดับ 1.87% คาดเม็ดเงินไหลเข้า 5.1 พันล้านบาท HMPRO, GULF, EA, MINT, MAKRO, BEM, DIF เข้าคำนวณ Large Cap Index ส่วน MTC, GPSC เข้า Mid Cap Index มีผลวันที่ 15 มี.ค. (ที่มา ข่าวหุ้น)
ทั้งนี้ บล.ทรีนีตี้ แนะนำ “ซื้อ” HMPRO ราคาเป้าหมาย 17.70 บาท/หุ้น คาดกำไรไตรมาส 4/2561 เติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และจากปีก่อนจากช่วงฤดูกาล แม้ยอดขายชะลอตัว SSSG ในไตรมาสมีโอกาสติดลบราว 0.8% จากปีก่อนจากฐานสูง ขณะที่ GPM เติบโตดี หนุนกำไรทั้งปี 2561 คาดเติบโตราว 15.6% จากปีก่อน
ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17.70 บาท (เดิม 18.20 บาท) upside ราว 15.7% ปรับประมาณการปี 2561 และ 2562 ลง เพื่อให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้มองว่ายังมีปัจจัยบวกจากทั้งกลยุทธ์ภายในบริษัท และการจับจ่ายภายในประเทศที่น่าจะฟื้น โดยเฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้ง
ด้าน บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “ซื้อ” EA ราคาเป้าหมาย 51 บาท/หุ้น หลัง EA เปิดตัวธุรกิจใหม่ให้บริการเรือโดยสารไฟฟ้า ซึ่งต่อยอดจากธุรกิจแบตเตอรี่ โดยมีแผนลงทุนสร้างเรือทั้งสิ้น 54 ลำ ด้วยงบลงทุน 1 พันล้านบาท คาดจะให้บริการปลายปีเฟสแรก 20 ลำ และทยอยจนครบทั้งหมดภายใน ก.พ. 2563 โดยในระยะสั้นยังไม่คาดหวังกำไรมีนัยฯ แต่ต้องการให้เกิดขึ้นก่อน
โดยประเด็นดังกล่าวคาดรายได้จากการให้บริการเรือไฟฟ้าโดยสารในระยะแรกจะยังไม่มีนัยฯต่อประมาณการกำไรของ EA แต่ถือเป็นอีกจุดเริ่มต้นของการต่อยอดจากธุรกิจแบตเตอรี่นำไปใช้ในเรือโดยสารนอกเหนือจากใช้ในรถยนต์ ปัจจุบัน EA อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่เฟสแรก ขนาด 1 GWh หากเป็นไปตามแผน คาดจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2562
ทั้งนี้ จากการที่ฝ่ายวิจัยได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเปิดตัวเรือโดยสารไฟฟ้าวานนี้ พบว่ายังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนมากนัก เบื้องต้น EA พร้อมเปิดรับพันธมิตรในการลงทุน โดยเรือโดยสารไฟฟ้าดังกล่าวจะให้บริการขนส่งผู้โดยสารจากท่าเรือวัดราชสิงขร-นนทบุรี คาดจะใช้เงินลงทุนรวม (ค่าตัวเรือ+ค่าติดตั้งแบตเตอรี่ไฟฟ้าขนาด 800 กิโลวัตต์ชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จราว 15 นาที) ราว 10-20 ล้านบาท/ลำ จึงถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อ
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการและมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2562 วิธี SOTP ไว้เท่าเดิมที่ 51 บาท/หุ้น ทั้งนี้ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจนใกล้เต็มมูลค่า ประกอบกับ Div. Yield ที่ค่อนข้างต่ำเพียง 0.4% p.a. เมื่อเทียบกับกลุ่มโรงไฟฟ้า จึงเน้นเข้าลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว
ขณะที่ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี แนะนำ “ถือ” MINT ราคาเป้าหมาย 43 บาท/หุ้น คาดธุรกิจโรงแรมของ MINT จะมีการเติบโตของของรายได้ต่อห้องพัก โต 8% ขณะที่รายได้ต่อสาขาเดิม (SSSG) ของธุรกิจอาหารคาดจะทรงตัวในปี 2562 ทั้งนี้ คาด MINT จะรายงาน EPS 0.35 บาท ต่อหุ้นในไตรมาส 4/2561 ทรงตัวจากปีก่อน แต่โต 59% จากไตรมาสก่อน คงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 43 บาท
ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ทยอยซื้อ” MAKRO ราคาเป้าหมาย 37 บาท/หุ้น มอง Core Profit ในไตรมาส 4/2561 คาดไม่โดดเด่นจากปีก่อน คาดกำไรไตรมาส 4/2561 ที่ 1,661 ล้านบาท ลดลง 11.5% จากปีก่อน, เพิ่มขึ้น 22.4% จากไตรมาสก่อน โดย 1) SSSG กลับมาเป็นบวกเล็กน้อยจากราคาอาหารสดที่ปรับสูงขึ้น 2) มีเปิดสาขาใหม่ 4 แห่งในไทย และ 1 แห่งที่อินเดีย 3) GPM คาดอ่อนตัวลงจากการแข่งขันที่รุนแรง 4) แม้การเปิดสาขาในไทยเป็นสาขาขนาดเล็กและสาขาในต่างประเทศที่อินเดียและกัมพูชาเลื่อนเปิดไปปี 62 แต่ยังมีค่าใช้จ่ายก่อนดำเนินงานเข้ามาสูงอยู่ v) อาจมีรายได้อื่นจาก Indoguna เข้ามา 230 ล้านบาทหลังทำเป้าไม่ถึงทำให้ไม่ได้รับ Incentive อย่างไรก็ตามทางฝ่ายยังไม่ได้บันทึกรายการดังกล่าวในประมาณการ
ทั้งนี้ แผนการขยายสาขายังดำเนินต่อเนื่อง ณ สิ้นปี 61 มีสาขารวม 129 แห่งในไทยและ 3 แห่งในต่างประเทศ สำหรับแผนปี 62 จะเปิดสาขาในไทย 6-7 แห่ง และที่ต่างประเทศ 12 แห่ง โดยในเดือนม.ค. 62 จะมี 2 สาขาใหม่ที่อินเดียและกัมพูชา ตามลำดับ คงราคาพื้นฐานปี 62 ที่ 37.00 บาท: มองราคาหุ้นสะท้อนข่าวลบเรื่องค่าใช้จ่ายสูงไปมากแล้ว โดยเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต คงคำแนะนำ “ทยอยซื้อ”
อีกทั้ง บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” BEM ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท/หุ้น มองแนวโน้มการต่ออายุสัมปทานทางด่วนของ BEM ได้หนุนราคาหุ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แต่ยังเชื่อว่าราคาหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก เนื่องจากการต่ออายุสัมปทานจะส่งผลให้แนวโน้มกำไรของ BEM มีความมั่นคงในระยะยาว นอกจากนี้ธุรกิจรถไฟฟายังจะช่วยเสริมการเติบโตของกำไรให้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ภาพความมั่นคงของกำไรที่มาพร้อมกับศักยภาพการเติบโตของหุ้น BEM ส่งผลให้เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2562 ใหม่ที่ 11.80 บาท