2 โบรกฯดังจัดกลยุทธ์ลงทุนหลังเลือกตั้ง ชูเคาะ 21 หุ้นเด่นเน้นเป้า Fund Flow ไหลกลับ
2 โบรกฯดังจัดกลยุทธ์ลงทุนหลังเลือกตั้ง ชูเคาะ 21 หุ้นเด่นเน้นเป้า Fund Flow ไหลกลับ
ก่อนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.) จะประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ค.62 แน่นอนเชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนยังต้องรอความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงรวบรวมความเห็นนักวิเคราะห์ที่น่าสนใจหลังการเลือกตั้งมานำเสนอ
โดยครั้งนี้อาศัยบทวิเคราะห์จากบล.เอเซีย พลัส และบล.โนมูระ พัฒนสิน ซึ่งทั้ง 2 แห่งได้ให้กลยุทธิ์การลงทุนโดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจอยู่ในกลุ่มหุ้นที่มีผันผวนน้อยกว่าตลาด,กลุ่ม Domestic Play,กลุ่มหุ้นที่มีผลกำไรโดดเด่นในไตรมาส 2/62 และมี upside มากกว่า 10% และกลุ่มหุ้น Global ที่อิงตามราคาน้ำมันดิบโลก อาทิ STEC,SEAFCO,SCCC,AMATA,WHA, DRT,BBL,KBANK,BJC,M, SAWAD,MTC,JMT,PTT,PTTGC,BPP,TPIPL,TFG,PSH,QH,CPN ซึ่งระบุไว้ดังนี้
บล.เอเซีย พลัส กลยุทธ์การลงทุน จากสถิติการเลือกตั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมา วันทำการแรกหลังการเลือกตั้ง SET Index จะปรับตัวขึ้น 3.1% ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในรอบนี้เช่นกัน แม้จะเห็นผลในน้ำหนักที่เบากว่าเนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา
อีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องติดตามคือเรื่อง Fund Flow ซึ่งปกติควรไหลเข้าตลาดหุ้นไทย แต่ก็อาจมีอุปสรรคจากภาวะ Inverted Yield Curve ในพันธบัตรสหรัฐ ควรเลือกลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานแข็งแรง และให้ Dividend Yield สูง
เข้าสู่ขั้นตอนการรวบรวมคะแนนเสียงตั้งรัฐบาล
ข้อมูลจาก Elect Live รายงานผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ สรุปรู้ผลการเลือกตั้ง ส.ส. แล้ว ในช่วงเช้านี้ (25 มี.ค. 2562) จำนวน 481 ที่นั่ง โดยพรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส. มากเป็นอันดับ 1 รวม 130 ที่นั่ง ตามด้วยพลังประชารัฐ 121 ที่นั่ง อันดับที่ 3 ได้แก่พรรคอนาคตใหม่ 81 ที่นั่ง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ และ ภูมิใจไทยได้จำนวน ส.ส.เท่ากันคือพรรคละ 50 ที่นั่ง กระบวนการจากนี้ไปน่าจะเห็นการเดินหน้าของแต่ละฝ่ายที่ได้คะแนนเสียงในอันดับที่ 1 และ 2 ในการที่จะรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ทั้งนี้หากประเมินจากท่าทีของแต่ละพรรคการเมือง พบว่าฐานเสียงของจำนวน ส.ส. อาจแบ่งได้เป็น 3 ส่วนหลักคือ
ส่วนที่ 1 เป็นฐานที่มี พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ซึ่งมีพรรคที่มีแนวทางเดียวกันเช่น อนาคตใหม่ เพื่อชาติ เพื่อไทย และ เสรีรวมไทย ซึ่งจากฐานข้อมูลใน Elect Live มีจำนวน ส.ส.รวม 231 เสียง
ส่วนที่ 2 เป็นฐานที่มี พรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำ ซึ่งมีพรรคที่มีแนวทางไปทางเดียวกันหรือใกล้เคียง เช่น พรรครวมพลังประชาชาติไทย และ ประชาธิปัตย์ มีจำนวน ส.ส. รวม 175 เสียง
ส่วนที่ 3 เป็นฐานที่ ยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับพรรคการเมืองใด มีจำนวนเสียงรวม 75 เสียง นำโดยพรรค ภูมิใจไทย (50 เสียง) ชาติไทยพัฒนา (11 เสียง) เศรษฐกิจใหม่ (5 เสียงเป็นต้น) นอกจากนี้ยังมี ส.ส. อีกจำนวน 19 เสียง ที่ยังไม่ประกาศผล
อย่างไรก็ตามในการจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้คาดว่าจะใช้เวลายาวนานกว่าทุกครั้ง เนื่องจากคาดว่า กกต. จะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการครบ 95% ในช่วงประมาณ 9 พ.ค.2562 โดยในช่วงก่อนหน้านั้นอาจเห็นคะแนนเสียงของ ส.ส.ที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา หลังจากนั้นคาดว่าจะเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกในราววันที่ 24 พ.ค.2562 (15 วันหลังจาก กกต. รับรองผลการเลือกตั้ง) ส่วนการเลือกนายกรัฐมนตรีก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปร เนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องเลือกให้ได้ภายในระยะเวลาเท่าใด ซึ่งต่างจากครั้งที่ผ่านๆ มาที่ต้องเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ภายใน 30 วัน หลังเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก
สำหรับการตอบสนองของ SET Index ต่อการเลือกตั้งที่ผ่านไป คาดว่าจะเห็นในทิศทางบวก โดยน่าจะมี Fund Flow เริ่มไหลเข้ามา อย่าไรก็ตามจากตัวแปรในเรื่องการรวมคะแนนเสียงจัดตั้งรัฐบาล อาจทำให้เห็นการ Take Profit เป็นระยะได้ ดังนั้นในการลงทุนควรเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงเป็นหลัก
ความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวกลับมาเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น แต่การที่ธนาคารกลางหลายแห่งมีแนวโน้มยุติการขึ้นดอกเบี้ย บวกกับไทยที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง น่าจะหนุน Fund Flow ไหลกลับได้บ้าง ดังนั้นฝ่ายวิจัยยังคงรูปแบบการลงทุนภายใต้ความระมัดระวัง และเน้นเลือกเป็นรายหุ้น ดังนี้
1.หุ้นที่มีผันผวนน้อยกว่าตลาด (1L2H) โดย 1L คือ Low Beta คือ หุ้นที่ผันผวนต่ำน้อยกว่าตลาด และ 2H คือ High Upside และ High Growth ปี 2562
2.หุ้น Domestic Play
กลุ่มรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มนิคมฯ ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน: STEC ([email protected]), SEAFCO (FV@ ก่อน XD 12.40 บาท หลัง XD 11.30 บาท), SCCC (FV@B269), AMATA ([email protected]), WHA ([email protected]), DRT([email protected])
กลุ่มธ.พ. จากการขยายตัวของสินเชื่อ: BBL (FV@B227), KBANK (FV@B246)
กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของพรรคการเมือง ที่มุ่งเน้นผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกร: BJC (FV@B61), M (FV@B84), SAWAD (FV@B54), MTC([email protected]), JMT ([email protected])
3.หุ้นที่มีผลกำไรโดดเด่นใน 1Q62 และมี upside มากกว่า 10%: กลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ PTT(FV@B56), PTTGC(FV@B79) หุ้นโรงไฟฟ้า-พลังงานทดแทน BPP([email protected]) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCCC(FV@B269), TPIPL([email protected]) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS(FV@B30), BCH(FV@B21) กลุ่มเกษตร-อาหาร CPF(FV @B31.50), TFG(FV @B4.50) ปิดท้ายด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ PSH ([email protected]), QH ([email protected]) และ CPN ([email protected])
4.หุ้น Global ที่อิงตามราคาน้ำมันดิบโลก: ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากจุดต่ำสุด (ปลาย ธ.ค. 61) สอดรับกับการลด supply ตามความต้องการใช้น้ำมันที่ชะลอตัว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาหุ้น PTT PTTEP PTTGC ยังไม่ได้ตอบรับปัจจัยบวกเท่าที่ควร มิหน่ำซ้ำยังมีแรงชอร์ตเซล (Short Sale เป็นการขายหลักทรัพย์ที่ไม่มีในครอบครอง โดยเป็นการยืมหุ้นมาเพื่อขาย แต่ในที่สุดต้องซื้อหุ้นกลับเมื่อราคาต่ำ เพื่อคืนแก่ผู้ให้ยืม) ออกมาต่อเนื่อง(ytd) จึงเชื่อว่าหากราคาหุ้นปรับฐานลงจนมี Upside เปิดกว้าง และด้วยพื้นฐานแข็งแกร่งจึงมีโอกาสสูงที่ราคาหุ้นจะฟื้นกลับมาจากการ Cover Short
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า (25 – 29 มี.ค.62) ว่า ทิศทางตลาดในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ทำให้เริ่มเห็นทิศทาง Fund Flows สะดุดไปตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2019 สะท้อนนักลงทุนมีแนวโน้มปรับพอร์ตล่วงหน้าไปแล้ว
ทั้งนี้หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งไป ภายใต้สมมติฐานว่า คะแนนเสียงของการเลือกตั้งครั้งนี้จะหนุนการตั้งรัฐบาลได้ตามกฎหมาย(ไม่ว่าจะมาจากขั้วการเมืองใดๆ) จะหนุน Fund Flows ที่ laggard ในไทย กลับมาไหลเข้าเชิงบวก
กลยุทธ์การลงทุน: ตลาดน่าจะแกว่งตัวขึ้น หลังทราบผลการเลือกตั้ง เน้น 1) หุ้นที่เป็นเป้า Fund Flow จาก Upside Risk MSCI (INTUCH, DTAC, CENTEL และเพิ่มน้ำหนัก KBANK, BDMS)
2) Recovery Play สำหรับหุ้นที่ผลประกอบการปี 2018 ชะลอตัว แต่มีแนวโน้มที่จะกลับมาฟื้นตัวเด่นในปี 2019 แนะนำ AAV, BGRIM, RS, STPI และ
3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลักการเลือกตั้ง และการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น บวกต่อ BJC, STEC, AMATA
ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน