โบรกฯเชียร์ซื้อ TOP ลุ้นสต็อกเกนหนุนผลงาน Q1 พลิกกำไร รับราคาน้ำมันดิบพุ่ง เคาะเป้า 90 บ.
โบรกฯเชียร์ซื้อ TOP ลุ้นสต็อกเกนหนุนผลงาน Q1 พลิกกำไร รับราคาน้ำมันดิบพุ่ง เคาะเป้า 90 บ.
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ หลังมีนักวิเคราะห์หลายสำนักเชียร์ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP พร้อมจัดเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน คาดไตรมาส 1/62 พลิกกลับมาเป็นกำไร จากคาดการณ์ว่าจะไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเหมือนไตรมาส 4/61 และอาจมีกำไรจากสต็อกด้วยหลังจากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นจากเดือน ธ.ค.61 แต่ธุรกิจอะโรเมติกส์อาจอ่อนตัวลงบ้างจากราคาปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง
พร้อมมองผลการดำเนินงานทั้งปี 62 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 13,109-18,614 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 10,149 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่า TOP จะไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันในปีนี้ และผลการดำเนินงานจะดีขึ้น โดยเฉพาะจากมาตรการของ IMO ที่ในปี 63 กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5%
ส่งผลให้ตลาดจะมีความต้องการน้ำมันดีเซลมากขึ้นเพื่อมาผสมลดค่ากำมะถันลง หนุนให้ราคาน้ำมันดีเซลพุ่งขึ้นตาม ส่งผลดีต่อ TOP ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตดีเซลในระดับสูง จึงเชื่อว่าจะมีการเก็งกำไรหุ้น TOP เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่คาดว่าจะมีทิศทางคลี่คลายก็จะหนุนให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมีกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นด้วย
ด้านนายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดการณ์ผลการดำเนินงานของ TOP ในไตรมาส 1/62 จะดีกว่าไตรมาส 4/61 ที่ได้มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน กดดันให้ผลการดำเนินงานรวมมีผลขาดทุนสุทธิ แต่ในไตรมาส 1/62 ค่าการกลั่นฟื้นตัวขึ้น และไม่มีผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน แต่ธุรกิจอะโรเมติกส์อาจจะอ่อนตัวลงบ้าง จากราคาปิโตรเคมีที่อ่อนตัวลง
ทั้งนี้ หากมองผลการดำเนินงานทั้งปี 62 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 14,523 ล้านบาท เติบโต 40% จากปีที่แล้ว ที่มีกำไรสุทธิ 10,149 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้คาดว่า TOP ไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน และมอง Operation ก็น่าจะดีขึ้น จากต้นทุนสูญเสียน้ำมันในระบบจะดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากมาตรการขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากัมมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 ขณะที่โรงกลั่นในหลายประเทศมีการผลิตน้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันมากกว่า 0.5% ก็จะส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเข้ามาทดแทนมากขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อ TOP และน่าจะทำให้ผลการดำเนินงานของ TOP ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ดีขึ้นด้วย ดังนั้น อาจจะมีการเก็งกำไรในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ด้วย
ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯคาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/62 ของ TOP จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบต่อไตรมาส เนื่องจากคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้น หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นจากเดือน ธ.ค.61
นอกจากนี้ ยังคงเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร ยังคงลดปริมาณการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วันนับตั้งแต่เดือน ม.ค.62 และสิ้นสุดช่วงที่สหรัฐผ่อนผันให้ 8 ประเทศนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านได้จนถึงเดือน พ.ค.62 ดังนั้น จึงยังคงเลือก TOP เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน
ขณะที่ บล.เอเชีย เวลท์ คาดหวังว่า ปีนี้ TOP จะมีกำไรฟื้นขึ้นมาเป็น 18,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% จากปีที่แล้ว และอ่อนตัวลงเล็กน้อยราว 1.6% มาอยู่ที่ระดับกำไร 18,312 ล้านบาท ในปี 63 ซึ่งยังคาดหวังผลบวกจากส่วนต่างน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ และผลของสงครามการค้าคลี่คลายทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเคมีกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ผลประกอบการของ TOP ไตรมาส 1/62 จะฟื้นตัว หลังจากมี Stock Loss จำนวนมากไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ค่าการกลั่นยังคงอ่อนตัวต่อเนื่องในไตรมาส 1/62 เป็น 3.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ยในไตรมาส 4/61 ที่ 4.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และค่าเฉลี่ยของปี 61 ที่ 5.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ด้านส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) ในไตรมาส 1/62 ยังคงอยู่ระดับสูง ที่ราว 489 เหรียญสหรัฐ/ตัน แม้จะลดลง 7% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 528 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ระดับราคาดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 61 ที่อยู่ 388 เหรียญสหรัฐ/ตัน มากถึง 26%
สำหรับ บล.บัวหลวง ระบุว่าผลประกอบการไตรมาส 1/62 ของ TOP มีแนวโน้มพลิกกลับเป็นกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/62 หนุนโดยกำไรจากสินค้าคงคลัง แต่กำไรจากการดำเนินงานหลักมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน กดดันโดยค่าการกลั่นที่อ่อนตัวลง และกำไรจากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นลดลง จากส่วนต่างราคาปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตามธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคา PX ขยายตัว และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่กลับสู่ระดับปกติน่าจะช่วยบรรเทาการปรับตัวลดลงของกำไรหลักของ TOP ได้บางส่วน พร้อมคงประมาณการกำไรสุทธิในปี 62 ที่ 13,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว