MEGA ฉายแววโตเด่น! รับแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หนุนรายได้ปี 62 โตเข้าเป้า 10%

MEGA ฉายแววโตเด่น! รับแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หนุนรายได้ปี 62 โตเข้าเป้า 10%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับหุ้นบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ภายหลังมีนักวิเคราะห์ให้ความเห็นพ้องแนะนำซื้อหุ้น MEGA หลังมองทิศทางผลประกอบการปี 62 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากธุรกิจหลักไม่ว่าจะเป็นธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 8-10 รายการ รวมทั้งกำลังยื่นจดทะเบียนอีก 73 รายการ และอยู่ระหว่างพัฒนาอีก 59 รายการ

นอกจากนี้ บริษัทยังขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ เช่น โคลอมเบีย, เอธิโอเปีย หลังจากเข้าไปเปิดสำนักงานใหม่ จากธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare ซึ่งบริษัทได้เริ่มเปิดใช้งานศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ในประเทศเมียนมาซึ่งเป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองย่างกุ้ง คาดจะมาช่วยรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและเป็นอีกทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้

สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/62 คาดกำไรสุทธิจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายใต้กิจการร่วมค้าเมก้า มาลี การเจาะตลาดใหม่ ๆ และผลบวกจากการเพิ่มทีมการตลาดก่อนหน้านี้ในประเทศเมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย

ขณะที่ไตรมาส 4/61 กำไรสุทธิได้แตะจุดสูงสุดใหม่ และสูงกว่าคาดการณ์ถึง 5% โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่แข็งแกร่งจาก Mega We Care และ Maxxcare รวมถึงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายและการบริหารต่อยอดขายที่ปรับตัวลดลงด้วย

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทิศทางผลประกอบการของ MEGA ในปี 62 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเติบโตจากธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจภายใต้เครื่องหมายการค้า Mega We Care ที่มีสัดส่วนรายได้ในปี 61 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 52% จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่จะออกมาในปีนี้อีก 8-10 ผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างจดทะเบียนอีก 73 ผลิตภัณฑ์ และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาอีก 59 ผลิตภัณฑ์

นอกจากนี้ยังมีการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งจากการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ เช่น ในประเทศโคลอมเบีย, เอธิโอเปีย ภายหลังที่บริษัทเข้าไปเปิดสำนักงานใหม่ และจากธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare ซึ่งบริษัทได้เริ่มเปิดใช้งานศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ในประเทศเมียนมาซึ่งเป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองย่างกุ้ง คาดจะมาช่วยรองรับการขยายตัวทางธุรกิจและเป็นอีกทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้

ส่วนของรับจ้างผลิต (OEM) ในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าเดิมมีแนวโน้มกลับเข้ามาสั่งผลิตมากขึ้น นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังมีการทำตลาดค่อนข้างมากเพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักและมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น เช่นการเพิ่มจำนวนบุคลากร ทีมงานใหม่ๆ ในอีกหลายๆประเทศเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น ในประเทศเมียนมา, เวียดนาม, อินโดนีเซีย

ขณะที่ บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มองเป้าหมายรายได้ปี 62 ที่เติบโต 8-10% มีโอกาสเป็นได้สูง โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากธุรกิจ Mega We Care ที่คาดว่าจะเติบโต 10% หนุนโดยการขยายตลาดต่อเนื่องและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ปัจจุบัน บริษัททำการตลาดครอบคลุมถึง 32 ประเทศ ซึ่งมีประเทศโคลอมเบียและเอธิโอเปียที่บริษัทเพิ่งเปิดสำนักงานตัวแทนใหม่ โดยบริษัทยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์เน้นเจาะตลาดประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตมากกว่า

ขณะที่ธุรกิจ Maxxcare  จะเติบโต 12% โดยการเติบโตหลักจะยังมาจากประเทศเมียนมา ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงถึง 65% ของรายได้ Maxxcare ทั้งหมด ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากศูนย์กระจายสินค้าใหม่เป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมา ช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตและการขยายฐานลูกค้าของบริษัท

สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/62 คาดกำไรสุทธิจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายใต้กิจการร่วมค้าเมก้า มาลี การเจาะตลาดใหม่ ๆ และผลบวกจากการเพิ่มทีมการตลาดก่อนหน้านี้ในประเทศเมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย

ด้าน บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทรายงานกำไรไตรมาส 4/61 แตะจุดสูงสุดใหม่ และสูงกว่าคาดการณ์ถึง 5% โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่แข็งแกร่งจาก Mega We Care และ Maxxcare รวมถึงอัตราส่วนค่าใช้จ่ายและการบริหารต่อยอดขายที่ปรับตัวลดลงด้วย

ส่วนทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/62 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/61 ด้วยความต้องการที่แข็งแกร่งจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ CMV ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่ม Maxxcare ขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตามช่วงไตรมาส 1 ปกติแล้วจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น จึงคาดว่าผลประกอบการจะลดลงจากไตรมาส 4/61 อย่างมาก

Back to top button