ดักเก็บหุ้นพลังงานพื้นฐานแกร่งก่อนฟื้นหลังถูกตัว Short Sale-รับปัจจัยบวกราคาน้ำมันพุ่ง

ดักเก็บหุ้นพลังงานพื้นฐานแกร่งก่อนฟื้นหลังถูกตัว Short Sale-รับปัจจัยบวกราคาน้ำมันพุ่ง


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจรวบรวมบทวิเคราะห์ที่แนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากเป็นหุ้นที่คาดว่าจะมีการฟื้นตัวหลังจากก่อนหน้านี้ถูก Short Sale สูงตั้งแต่ต้นปี ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันดิบมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้น จึงคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาฟื้นตัว

โดย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (2 เม.ย.62) ราคาน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวแรง  หลังจาก ดัชนีชี้น้ำเศรษฐกิจสำคัญ ๆ  ของสหรัฐและจีน เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง   คือ PMI ภาคการผลิตสหรัฐ (สำรวจโดยสถาบัน ISM) เดือน มี.ค. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดที่ 55.3 จุด และฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนที่ 54.2 จุด ในเดือน ก.พ.

สอดคล้องกับ PMI ภาคการผลิตของจีนในเดือนเดียวกัน ฟื้นตัวในรอบ 8 เดือนที่ระดับ 50.5 จุด จาก 49.5 จุด  หลังจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเหล่านี้ ชะลอลงต่อเนื่องจาก ผลของสงครามการค้านับจากกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 ประเทศคือ ผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก คือ สหรัฐบริโภคมากสุด รองลงมาคือ จีน

ขณะที่ฝั่ง Supply  การตัดลดกำลังการผลิตยังเป็นไปตามแผน และมีแนวโน้มจะยืดการตัด Supply ออกไปจนถึงสิ้นปี จากเดิมที่กำหนดไว้กลางปี 2562 (ตามข้อตกลง OPEC และ Non OPEC  ทำสัญญาล่าสุด ธ.ค. 2561 จะตัดลดการผลิตถึงกลางปี 2562 ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็น OPEC ตัดลด 8 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่ Non OPEC  ลดลง 4 แสนบาร์เรล/วัน)

โดยรวมทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบยังทรงตัวในระดับสูงที่ราว  68.8  เหรียญฯต่อบาร์เรล สูงกว่าสมมติฐานกำหนดไว้ 65 เหรียญ ในปี 2562 และคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวบริเวณ  70 เหรียญฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ (และกำหนด 70 เหรียญฯนับจากปี 2563 เป็นต้นไป)  แนะนำสะสมหุ้นน้ำมัน PTTEP(FV@B178), PTT(FV@B56) และ PTTGC(FV@B79) ประกอบกับเป็นหุ้นที่ถูก Short Sale สูงตั้งแต่ต้นปี จึงคาดว่ามีโอกาสที่ราคาจะฟื้นตัวจากการ Cover Short ได้

ด้าน บล.อาร์เอชบี ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมองว่าราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านสำคัญแถว ๆ 70-72 ดอลลาร์/บาร์เรล จะเป็นเป็นปัจจัยหนุนให้มีแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานและโรงกลั่น  ทั้งนี้เราคาดว่าค่าการกลั่นในไตรมาส 2/62 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับค่าการกลั่นในไตรมาส 1/62 ที่อยู่ระดับ 4 ดอลลาร์/บาร์เรล  แนะนำซื้อ PTTEP, PTTGC, TOP, ESSO

ขณะเดียวกัน บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “ซื้อ” PTT ราคาเป้าหมาย 56 บาท/หุ้น โดยระบุว่า เมื่อ 29 มี.ค. 2562 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้บริษัท อาร์พีซีจี จำกัด (มหาชน) (RPCG) จ่ายค่าผลิตภัณฑ์ที่ RPCG ผิดนัดชำระต่อ PTT ตามสัญญาซื้อขายคอนเดนเสท ราว 1.5 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม PTT จะใช้สิทธิยื่นต่อศาลฎีกาต่อไป

ประเด็นดังกล่าวถือเป็นประเด็นที่ยืดเยื้อมานานตั้งแต่ปี 2555 ที่ PTT ได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบัน อนุญาโตตุลาการเรียกร้องให้บริษัท อาร์พีซีจี จากัด (มหาชน) (“RPCG”) จ่ายค่าผลิตภัณฑ์ที่ RPCG ผิดนัดชำระต่อ PTT ตามสัญญาซื้อขายกากคอนเดนเสทราว 1.5 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย

โดยเมื่อปี 2560 คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดให้ RPCG จ่ายค่าผลิตภัณฑ์เต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยแก่ PTT  แต่ต่อมา RPCG ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ

และเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2562 ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ แต่อย่างไรก็ตาม PTT ยังไม่อาจเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลแพ่ง ดังนั้น PTT จึงจะใช้สิทธิยื่นฎีกา คาพิพากษาของศาลแพ่งต่อศาลฎีกาตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าว PTT ได้มีการเป็นรายการหนี้สงสัยจะสูญไปแล้วตั้งแต่ปี 2557 ในงบกำไรขาดทุน เพียงแต่ยังไม่เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีจนกว่าคดีจะสิ้นสุด ดังนั้นหากคดีสิ้นสุดแล้ว 1) กรณี PTT ไม่ได้รับเงินคืนจาก RPCG ก็จะไม่กระทบงบกำไรขาดทุนแต่อย่างไรเพราะมีการบันทึกเป็นหนี้สงสัยจะสูญไปแล้ว เพียงแต่นำรายการนี้มาคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ หรือ 2) หาก PTT ได้รับเงินคืนจาก PTT ก็จะบันทึกเป็นรายได้พิเศษคืนกลับมา ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2562 (DCF) ที่ 56 บาทต่อหุ้น แนะนำซื้อ เชื่อราคาหุ้นผ่านการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบต่างๆไปในระดับหนึ่งจนมี downside จำกัด

ขณะที่ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ทยอยซื้อ” PTTEP ราคาเป้าหมาย 136 บาท/หุ้น โดยระบุว่า PTTEP รุกการลงทุนตามกลยุทธ์ “Coming Home” to South East Asia โดยจะเน้นขยายการลงทุนแหล่งสำรวจในไทย และในประเทศใกล้ ๆ ไทย เนื่องจากบริษัทมีความชำนาญในพื้นที่, ต้นทุนการสำรวจจะต่ำกว่า และควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ประกาศเข้าซื้อ 1) ซื้อสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท APICO LLC ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนในโครงการสินภูฮ่อมมูลค่า 64 ล้านดอลลาร์ส่งผลให้บริษัทเข้าถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งสิ้น 66.8% (โครงการสินภูฮ่อม เป็นแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติบนบก ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี 2561 มีปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยประมาณ 79 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (12,927 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) และปริมาณการขายคอนเดนเสทเฉลี่ยประมาณ 246 บาร์เรลต่อวัน) 2) ลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิต แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/61 ถือ 60% และ G2/61 ถือ 100% (เอราวัณและบงกช) กำหนดปริมาณการผลิตขั้นต่ำที่ 800 และ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามลำดับในระหว่างปี 2565 และ 2566 จนถึงปี 2575 และ 3) ซื้อบริษัทในเครือ Murphy Oil Corporation ในประเทศมาเลเซียมูลค่ารวมประมาณ 2,127 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยแปลงสำรวจตาม (รูปที่ 1) และยังได้ลงทุนในโครงการสำรวจปิโตรเลียม PM407 และ PM415 ในประเทศมาเลเซีย คาดว่าการลงทุนในมาเลเซียจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2562 เป็นต้นไป และคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเพิ่มปริมาณการผลิตได้ 18% ต่อปี และยังเพิ่มปริมาณสำรอง 2P อีก 274 ล้านบาร์เรลต่อวัน

เดิมทางบริษัทคาดปริมาณขายในปี 2562 ที่ 318 KBOED แต่หากรวมแหล่งมาเลเซียเข้ามาจะทำให้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 7% ทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการปริมาณขายเพิ่มจากปัจจัยดังกล่าว แต่ยังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบที่ 65 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ต้นทุนการผลิตคงไม่ต่างจากเดิมมากนักที่ 30 เหรียญ/บาร์เรล ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มเป็น 42,364 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 17% y-y

ทั้งนี้ยังชอบ PTTEP และเป็น Top pick ในกลุ่มพลังงานจากการได้ผลบวกจาราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการซื้อเงินลงทุนครั้งนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าพื้นฐานราว 5 บาท/หุ้น และราคาหุ้นยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปค ทางฝ่ายแนะนำ “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐาน 136 บาท

อีกทั้ง บล.ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี ระบุในบทวิเคร์ โดยแนะนำซื้อ PTG ให้ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท

 

Back to top button