คัด 11 หุ้น“Defensive -Domestic play” รับมือ SET ผันผวน-รอความชัดเจนเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน

คัด 11 หุ้น “Defensive -Domestic play” รับมือ SET ผันผวน-รอความชัดเจนเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน


บรรยากาศลงทุนสัปดาห์นี้มี 2 ปัจจัยที่นักลงทุนรอความชัดเจนโดยเฉพาะผลการเจรจาสหรัฐฯ-จีน โดยกรอบการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเพื่อหาข้อยุติอยู่ระหว่างวันที่ 9-10 พ.ค.อีกปัจจัยคือการเมืองในประเทศ ซึ่งในเชิงกระแสมองว่ามีความวุ่นวายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสูตรการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ และข้อร้องเรียนต่างๆ ที่เข้ามายัง กกต. แต่ในเชิงของกระบวนการแล้วยังคงเดินหน้าไปสู่การมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตามเพื่อรอความชัดเจนการเมือง และผลการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนในช่วงปลายสัปดาห์นี้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จึงเน้นการลงทุนไปที่กลุ่มหุ้น Domestic Play รวมไปถึงกลุ่ม Defensive เป็นหลัก

ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจและรวบรวมกลุ่มหุ้นดังกล่าวมานำเสนอ โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากโบรกเกอร์ชั้นนำของไทย อาทิ บล.เอเซีย พลัส,บล.คันทรี่ กรุ๊ป,บล.คิงส์ฟอร์ด โดยมีหุ้นที่น่าสนใจ 11 ตัวคือ TPIPP,SEAFCO,BJC,ROBINS,HMPRO,BDMS,BCH,CHG,EASTW,TTW, BGRIM ตามข้อมูลประกอบดังนี้

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กระแสเชิงลบที่เข้ามากดดัน SET Index ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา น่าจะมีน้ำหนักลดลง โดยนักลงทุนน่าจะรอดูผลการเจรจาสหรัฐฯ-จีนส่วนการเมืองในประเทศเห็นพัฒนาการในการได้มาซึ่งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยล่าสุด กกต. ได้ประกาศรับรอง ส.ส.รวม 498 คน ซึ่งทำให้สามารถเดินหน้าเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

กรอบการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเพื่อหาข้อยุติระหว่างวันที่ 9-10 พ.ค. ยังคงดำเนินต่อไป แม้ ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ใน Twitter ว่าจะขึ้นภาษีจีนรอบ 3 วงเงิน  2  แสนล้านเหรียญเป็น  25%จากปัจจุบันเก็บที่ 10% และจะให้มีผลในวันศุกร์ที่ 10 พ.ค. พร้อมจะเก็บวงเงินที่เหลืออีก 3.25 แสนล้านเหรียญฯ อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยเชื่อว่าด้วยกระบวนการเจรจาที่ยังดำเนินอยู่น่าจะมีโอกาสที่ทั้ง 2 ฝั่งจะประนีประนอมกันในที่สุด ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวเชื่อว่าน่าจะทำให้ SET Index ดีดตัวขึ้นได้ หุ้น Top Picks เลือกใน Theme Domestic Play วันนี้เลือก TPIPP (FV@B 7.35) และ SEAFCO (FV@B 11.30)     

TPIPP ([email protected]) เพิ่มเข้ามาในพอร์ตจำลอง ASPS ในระยะสั้นคาดกำไรปกติรายไตรมาสเติบโตต่อเนื่อง หลังรับรู้โรงไฟฟ้าได้ครบ 8 โรง รวม 440 MW หนุนให้กำไรทั้งปี 2562 ขึ้นทำ New High สู่ฐานใหม่อีกครั้ง อีกทั้งระยะยาวคาดหวังได้กับโครงการใหม่ๆที่อยู่ระหว่างประมูล และด้วยราคาหุ้นปัจจุบันที่มี PER เพียง 9.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯมาก และยังให้ปันผลสูงเกือบ 7% ต่อปี (จ่ายทุกไตรมาส) จึงเหมาะสมในการลงทุนยามตลาดหุ้นผันผวนเช่นนี้

SEAFCO ([email protected]) ราคาเริ่มฟื้นตัว และยังมี Momentum ไปต่อจากกำไรสุทธิงวดไตรมาส1/62 ที่คาดว่าโดดเด่นทำ New High ต่อเนื่องที่ 121.8 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 157% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 4% เทียบไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้ง SEAFCO มัก Outperform ตลาดได้ดีในเดือน พ.ค. โดยตลอด 5 ปี ให้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกปี และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 5.21% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในเดือน พ.ค. มักจะเป็นเดือนที่ติดลบมากสุดของปี

 

บล.คันทรี่ กรุ๊ป ประเมินดัชนีมีโอกาสเปิดย่อตัวตามตลาดต่างประเทศและหากต่ำกว่า 1662 แนะเริ่มทยอยลดพอร์ตการลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP) แต่ยังคาดว่าดัชนีจะไม่ต่ำกว่า 1650 และมองบริเวณดังกล่าวเป็นโอกาสทยอยสะสมกลุ่มค้าปลีก (BJC ROBINS HMPRO) รวมถึงกลุ่ม Defensive (BDMS BCH CHG EASTW TTW) พร้อมถือครองเงินสดไม่ต่ำกว่า 40%

BCH (ซื้อ/มูลค่าเหมาะสม 21 บาท) ชอบบริษัทด้วยการที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในประกันสังคมที่ครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 32% โดยคาดรายได้ประกันสงคมเติบโต 2-3% ใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีโอกาสเติบโตจาก World medical center ที่เติบโตต่อเนื่องจากลูกค้าต่างชาติและ การเปิดศูนย์เด็กหลอดแก้วในช่วงกลางปี 19 โดยคาด IVF LAB (หนึ่งในโครงการ ของ WMC) จะสามารถสร้างรายได้กว่า 80 – 100 ล้านบาท / ปี และยังมีแผนขยาย 3 โรงพยาบาลใน 5 ปีข้างหน้า แบ่งออกเป็น ลาว 1 โรง , ปราจีนบุรี , สระแก้ว และอรัญประเทศอีก 2 โรง

 

บล.คิงส์ฟอร์ด  ระบุกลยุทธ์การลงทุนว่า อยู่รอความชัดเจนการเมือง และผลการเจรจาการค้าสหรัฐ – จีน ในช่วงปลายสัปดาห์นี้  แนะนำรอ Follow Trend  โดยมี Filter แนวรับหลักที่ 1,660 – 1,665 จุด แนวต้าน 1,680 -1,690 จุด  แนะนำซื้อหุ้น Defensive Stock เช่น BCH, BDMS, BGRIM และเก็งกำไร OSP , SAWAD ( + มีโอกาสนำเข้าคำนวณ SET50 ในรอบครึ่งปีหลัง )

อนึ่งการเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ หรือมาตรการต่างๆ ที่จะออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การกำหนดกลยุทธ์การลงทุนดังกล่าว เรียกว่า “Domestic Play” ซึ่งเป็นการเลือกลงทุนในหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจในประเทศ

ส่วนกลุ่มหุ้น “Defensive Stock”  คือ หุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนสม่ำเสมอ มั่นคง ไม่แปรผันไปตามสภาวะตลาด หุ้นตั้งรับมีแนวโน้มที่ดีกว่าตลาดในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจซบเซา อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวหุ้นตั้งรับมักจะทำได้ไม่ดีเท่าตลาดเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ผลตอบแทนของหุ้นตั้งรับเพิ่มขึ้นหรือลดลง น้อยกว่า ผลตอบแทนของดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button