ดักเก็บ SPALI โบรกแนะสอยช่วงราคา “อ่อนตัว” ชูท็อปพีคกลุ่มอสังหาฯ เคาะเป้า 24.50 บ.
ดักเก็บ SPALI โบรกแนะสอยช่วงราคา “อ่อนตัว” ชูท็อปพีคกลุ่มอสังหาฯ เคาะเป้า 24.50 บ.
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI โดยมีนักวิเคราะห์ บล.เอเอสแอล กำหนดคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท/หุ้น อิง PER ปี 62 ที่ระดับ 8.4 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง
โดยก่อนหน้านี้ ราคา SPALI ปรับตัวขึ้นรับข่าวสารผลกระทบของมาตรการ LTV ที่จำกัดต่อบริษัทมามากพอแล้ว รวมถึงผลประกอบการที่คาดว่าจะโดดเด่นในอุตสาหกรรม ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 62 รวมถึงการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ประสิทธิภาพ
สำหรับ 3 ปัจจัยที่แนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ประกอบด้วย 1. ผลกระทบจากมาตรการ LTV ค่อนข้างจำกัด แต่ราคาตอบรับปรับขึ้นมามากแล้ว 2. แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/62 แต่ช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างโดดเด่นจากการเปิดโครงการใหม่กว่า 3.75 หมื่นล้านบาท และ 3. เลือกเป็นหุ้น Top Pick ของกลุ่มอสังหาฯ เนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้ขยายตัวโดดเด่นกว่าคู่แข่งที่ส่วนใหญ่จะทรงตัวหรือชะลอตัว
โดยล่าสุด นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายและยอดโอนในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยวางแผนเปิดตัวอีก 22 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 19 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ซึ่งในครึ่งปีแรกเปิดตัวไปแล้ว 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 7 โครงการ คอนโดมิเนียม 2 โครงการ
สำหรับการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการปรับกลยุทธ์เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางในราคาที่จับต้องได้จริง และเจาะกลุ่มผู้ที่ซื้ออยู่อาศัยจริงหรือปล่อยเช่าเป็นหลัก โดยที่ราคาขายเฉลี่ยในช่วง 60,000-80,000 บาท/ตารางมตร ซึ่งเป็นระดับราคาที่ลูกค้าส่วนใหญ่ให้ความสนใจและเป็นราคาที่จับต้องได้
ส่วนภาวะตลาดอสังหาริมรัพย์ไนปัจจุบัน บริษัทมองว่าซัพพลายของโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มระดับราคาที่สูงกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเป็นกลุ่มระดับราคาที่ขายได้ช้าและพึ่งพิงลูกค้าต่างชาติเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดถูกกดดันจากปัจจัยต่างๆ ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ทำให้บริษัทหันมาเน้นการเปิดโครงการที่ราคาสามารถเข้าถึงลูกค้าส่วนใหญ่ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือปล่อยเช่าในทำเลที่มีศักยภาพแทน
โดยโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกที่เปิดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คือ โครงการ ศุภาลัย ปาร์ค สถานีแยกไฟฉาย มูลค่า 2.27 พันล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมสูง 22 ชั้น (รวมดาดฟ้า) จำนวน 2 อาคาร จำนวนห้องพักอาศัย 726 ยูนิต (Tower A จำนวน 374 ยูนิต และ Tower B จำนวน 352 ยูนิต) บนพื้นที่ราว 6 ไร่ ราคาขายเริ่มต้น 2.03 ล้านบาท/ยูนิต หรือราคาเฉลี่ย 60,500 บาท/ตารางเมตร จะเปิดขายพรีเซลในวันที่ 20-21 ก.ค.62 ตั้งเป้าทำยอดขายวันพรีเซลได้ 50% ขณะนี้มีลูกค้าสนใจลงทะเบียนมาแล้ว 1,000 ราย และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 65
ด้านผลกระทบจากการเริ่มบังคับใช้มาตรการ LTV ใหม่ตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ภาวะของตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มเห็นการชะลอตัว โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ชะลอลงชัดเจนทั้งการขายและการเปิดโครงการใหม่ เพราะเกณฑ์ดังกล่าวส่งผลให้ลูกค้าชะลอการตัดสินซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มที่ซื้อเก็งกำไร ซึ่งเคยสร้างความคึกคักให้กับตลาดหายลงไปอย่างมาก และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชะลอการเปิดโครงการใหม่เพื่อรอดูทิศทางของตลาด
ดังนั้น จึงมองว่าในช่วงไตรมาส 2/62 และไตรมาส 3/62 อาจจะเป็นช่วงต่ำสุดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่จะค่อยๆ กลับมาฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/62 อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดอสังหาริมรัพย์ไนปีนี้มองว่าจะหดตัว 5-8%
“ศุภาลัยก็ได้รับผลกระทบจาก LTV เช่นเดียวกัน จะเห็นได้จากหลังมาตรการเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย.มานั้น ลูกค้าที่ walk-in เข้ามาชมและซื้อโครงการหายไป 8-10% เพราะลูกค้าบางรายอาจจะยังไม่เข้าใจเกณฑ์ของ LTV ซึ่งเราก็ต้องมาอธิบาย และบางคนก็ยังรอการตัดสินใจซื้ออยู่ แต่ลูกค้าของบริษัทที่โอนไปนั้น Reject Rate ก็ยังทรงตัวที่ 9-10% แม้ว่า LTV จะมีผลกระทบกับบริษัทบ้าง แต่ยอดขายในไตรมาส 2/62 ก็ยังถือว่าสูงกว่าไตรมาส 1/62 เพราะมียอดขายจากโครงการ Supalai Icon มาช่วยหนุน และมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะทำได้ตามเป้า 3.5 หมื่นล้านบาท” นายไตรเตชะ กล่าว
ด้านยอดโอนในช่วงครึ่งปีหลังจะมาจากการเริ่มทยอยโอนโครงการใหม่ที่มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนจำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5.5 พันล้านบาท ได้แก่ ศุภาลัย เวอเรนด้า พระราม 9 มูลค่า 4.28 พันล้านบาท ปัจจุบันขายหมดแล้ว 100% จะเริ่มส่งมอบในช่วงปลายไตรมาส 3/62 และ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท พระราม 8 มูลค่าโครงการ 1.22 พันล้านบาท ปัจจุบันขายหมดและเริ่มส่งมอบแล้ว ควบคู่ไปกับโครงการ ศุภาลัย เอลีท สุรวงศ์ ที่เริ่มทยอยโอนตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
บริษัทจะมีการทยอยรับรู้มูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในช่วงครึ่งปีหลังราว 1.2 หมื่นล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีกว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดโอนในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมาย 2.8 หมื่นล้านบาท ส่วนสต็อกในปัจจุบันมีมูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบราว 5 พันล้านบาท เชื่อว่าจะระบายหมดภายในช่วง 2 เดือน และจะมียูนิตใหม่ๆเข้ามาเติม เพื่อรองรับความต้องการใหม่ๆที่มีอย่างต่อเนื่อง
ส่วนสต็อกคอนโดมิเนียม มีมูลค่ารวมราว 1 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญเป็นยูนิตเหลือขายจากโครงการทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงกว่า 1 พันยูนิต มูลค่ารวม 2-3 พันล้านบาท คาดว่าจะใช้ระยะเวลาระบายสต็อกภายใน 2-3 ปีนี้