คัด 10 หุ้นตัวท็อป 3 Sector หลัก รับเต็มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
คัด 10 หุ้นตัวท็อป 3 Sector หลัก รับเต็มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมบทวิเคราะห์ที่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกในแง่ของกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่จะเพิ่มสูงขึ้น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ของหุ้นในกลุ่มค้าปลีก ,การท่องเที่ยวและโรงแรม
โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผล ประกอบด้วย MINT , BJC , CPALL, HMPRO, ROBINS , MAKRO ,M ,PLANB ,MAJOR และRS
ทั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมองว่า ภาพรวมปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานยังไม่มีเรื่องใหม่ที่จะเข้ามากำหนดทิศทางของ SET Index ได้อย่างชัดเจน แต่มีประเด็นที่น่าสนใจในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน ได้แก่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ซึ่งฝ่ายวิจัยให้ความสำคัญกับเรื่องการปรับลดภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลง 10% ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยอย่างเป็นรูปธรรม เป็นผลดีต่อหลายกลุ่มอุตสาหกรรม หุ้น Top Picks วันนี้เลือก MINT (FV@ 47) และ BJC (FV@B 61)
รัฐบาลมีโอกาสเดินหน้าลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นละ 10%
รัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาร้บตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เชื่อว่าจะเร่งเดินหน้าสานต่อนโยบายต่างๆที่เคยหาเสียงไว้ก่อนหน้า โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นการบริโภคครัวเรือน เชื่อว่าจะเป็นอย่างแรกที่เริ่มทำก่อน ASPS แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ,กลาง, ยาว ดังที่ผ่านวิจัยนำเสนอใน market talk วันที่ 11-12 ก.ค.
อย่างไรก็ตามมาตรการกระตุ้นการบริโภคระยะยาวที่สำคัญและมีการพูดถึง คือ การลดภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลง เฉลี่ย 10% (คิดเป็นเม็ดเงินภาษีจ่ายหรือรายรับของรัฐบาล ที่จะลดลงราว 3.2 หมื่นล้านบาท) เพื่อที่จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 20% เทียบกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งมีขั้นบันไดที่สูงสุดถึง 35%
ทั้งนี้หากพิจารณารายได้ของรัฐบาลจากการเก็บภาษี ในปีงบประมาณ 8 เดือนของปี 62 อยู่ราว 1.687 ล้านล้านบาท มาจาก 3 กรม คือ
– กรมสรรพากร จัดเก็บภาษีได้ราว 1.22 ล้านล้านบาท หรือราว 74% ของรายได้รวมทั้งหมด 3 กรม และแบ่งเป็น ภาษีเงินได้บุคลธรรมดา, ภาษีเงินได้นิติบุคคล, ภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) และ อื่นๆ
– กรมสรรพาสามิต จัดเก็บภาษีได้ราว 3.94 แสนล้านบาท หรือราว 23% ของรายได้รวมแบ่งเป็น ภาษีน้ำมัน, ภาษียาสูบ, ภาษีสุรา เป็นต้น
– กรมศุลการกร จัดเก็บภาษีได้ราว 7.35 หมื่นล้านบาท หรือราว 3% ของรายได้รวมแบ่งเป็น อากรขาเข้า, อากรขาออก
ทั้งนี้ คาดว่าหากมาตรการนี้เกิดขึ้นจริง(มีโอกาสเกิดขึ้นปี 2563) น่าจะเป็นผลทางบวกต่อกำลังซื้อภาคครัวเรือน เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชนชั้นกลางซึ่งเป็นฐานภาษีหลักในกลุ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากได้ผลประโยชน์จากภาษี ขณะที่ในทางตรงข้ามผลกระทบ คือฝั่งรัฐบาลเชื่อว่ากระทบต่อการจัดหาเงินของรัฐบาล ซึ่งมีโอกาสที่รัฐบาลอาจจะไปเพิ่มการเก็บภาษีอื่นๆ ตามมาภายหลัง หรืออาจต้องขาดดุลงบประมาณปี 2563 เพิ่มขึ้น มากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากงบประมาณ 2563 (ฉบับเดิม) กำหนดวงเงินรวมที่ 3.2 ล้านล้านบาท และปัจจุบันยังมีความล่าช้าในการพิจารณา
3 Sector หลักได้ประโยชน์ ภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ชอบ BJC และ MINT
คาดรัฐบาลเดินหน้าสานต่อนโยบายต่างๆที่เคยหาเสียงไว้ก่อนหน้า และเชื่อว่าจะเร่งออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นโดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภค (ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น) ช่วยหนุนความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนดีขึ้น โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะมี Sector ที่ได้ประโยชน์ และน่าจะ Outperform ตลาดฯได้ดีในช่วงนี้ คือ
กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภค: เชื่อว่ามาตรการรัฐบาลชุดใหม่ บวกกับการที่ผู้ประกอบการหลักๆ ในกลุ่มได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย (CPALL, HMPRO, ROBINS) รวมถึงผู้ที่ขายอาหารสด MAKRO ได้รับอานิสงส์ราคาสินค้าหมูปรับตัวเพิ่มขึ้นมีนัยฯ จะหนุนการเติบโตยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของกลุ่มให้เติบโตต่อเนื่อง และหุ้นที่ชื่นชอบที่สุด BJC( FV@B 61) เป็น Top Pick ด้วยมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อดังกล่าวข้างต้น และขยายสาขาใหม่ (ปีนี้รวม 8 แห่ง) จะหนุนยอดขายสาขาเดิม(SSSG) เติบโตสูงขึ้นจาก 1H62 ที่ 0.5% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน (สมมติฐาน SSSG ทั้งปีที่ 1.8%) บวกกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่จะมีคำสั่งซื้อกระป๋อง จาก SABECO และรายอื่นๆ ราว 400 ล้านกระป๋อง ในปีนี้ ทำให้เชื่อว่ากำไรตั้งแต่ 2H62 จะพลิกกลับมาเติบโตดี ฝ่ายวิจัยยังคงคาดกำไรทั้งปี 2562 เติบโต 7.1% เท่ากับ 7.1 พันล้านบาท ขณะที่ภาพระยะยาวยังมั่นคง พร้อมต่อยอดธุรกิจใน CLMV ในส่วนราคาหุ้นปัจุบันมี Upside 22% จากมูลค่าพื้นฐานที่ 61 บาท และยัง Laggard กลุ่มฯ
และยังมีหุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่ได้อานิสงค์ คือ M (FV@B 84.00) แนวโน้มกำไรปกติ 2Q62 อยู่ที่ 725 ล้านบาท เติบโต 2% จากไตรมาสก่อนจากการเข้าสู่ High Season ของธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากมีวันหยุดมาก และเติบโตถึง 10% จากปีก่อนจากการเพิ่มราคาสินค้าในช่วงปลายไตรมาส 4/61 รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ช่วยหนุน Gross Profit Margin ให้อยู่ในระดับที่ดี อีกทั้งราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่มฯมาก โดยตั้งแต่ต้นปี 2562 ราคาหุ้นปรับตัว ขึ้นมาเพียง 7% ขณะที่กลุ่มอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 24% สุดท้ายคือ นักลงทุนสามารถคาดหวังเงินปันผลได้ 3.6% ต่อปี และมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอย่างสม่ำเสมอ และมักขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงเดือน ส.ค.
กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม: การปรับลดฐานภาษีบุคคลธรรมดาดังกล่าว รวมไปถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ การพิจารณาต่ออายุมาตรการฟรีวีซ่า (VOA) แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ 21 ประเทศ จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ต.ค. นี้ เป็น 31 มี.ค. 2563 จะเป็นหนึ่งในปัจจัยดึงดูดทางการท่องเที่ยว และจะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม
โดยเฉพาะ MINT (FV@B47) ชื่นชอบที่สุดในกลุ่มฯ และเลือกเป็น Top Pick อีก 1 บริษัท ด้วยแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2/62 คาด Outperform กลุ่มฯ (กลุ่มบริษัทโรงแรมอื่นคาดอ่อนตัวจากปีก่อน และ จากไตรมาสก่อน) ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนด้วยการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมจากกลุ่ม “NH Hotel ที่มีสัดส่วนรายได้มากสุด” เข้าสู่ High Season ขณะที่ “ธุรกิจโรงแรมไทย” พิจารณาจากข้อมูล เม.ย. – 15 มิ.ย. 62 พบว่า รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (Revpar) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากทั้งโรงแรมในกรุงเทพและต่างจังหวัด เพราะโรงแรมส่วนใหญ่ของ MINT อยู่ในระดับ 4 – 5 ดาว ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูง จึงไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทไทยแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมามากนัก หนุนกำไรสุทธิที่เหลือของปี 2562 คาดจะเด่นต่อเนื่อง อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เป็นบวกต่อกำลังซื้อในประเทศ มีโอกาสผลักดันยอดขายร้านอาหารเดิม (SSSG) ของกลุ่มฯ ส่งผลให้กำไรปกติทั้งปี 2562 เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน อยู่ที่ 6,796 ล้านบาท
,กำลังซื้อของประชากรที่เพิ่มขึ้น หนุนให้ทางฝั่งผู้ประกอบการเองน่าจะเร่งกระตุ้นยอดขาย ด้วยการทำโฆษณามากขึ้น ชื่นชอบหุ้น RS(FV@B 22.10) ได้รับปัจจัยบวกทั้งจากค่าโฆษณาผ่านธุรกิจทีวีดิจิตอล และธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง (MPC) ซึ่งบริษัทเน้นขายสินค้า Health & Beauty และ MAJOR(FV@B 33.00) ทั้งโปรแกรมหนังที่โดดเด่นขึ้นในงวดไตรมาส 3/62 เช่น Spider Man (Far From Home), The Lion King และ Fast & Furious (HOBBS and SHAW) บวกกับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ช่วยหนุนผลประกอบการให้ดีขึ้นอีกแรง และ PLANB(FV@B 8.20) แม้ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันจะเต็มมูลค่าพื้นฐาน แต่เงินทุนจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ VGI กว่า 2.3 พันล้านบาท ช่วยเพิ่มศักยภาพในการลงทุนใหม่ๆ มีโอกาสปรับเพิ่มมูค่าพื้นฐาน แนะนำลงทุนยามราคาอ่อนตัวลง