7 เดือนหุ้น “บลูชิพ” ขึ้นมากกว่าลง แนะสอยหุ้น Laggard-ต่ำบุ๊ก-ปันผลสูงช่วง SET ผันผวน

7 เดือนหุ้น “บลูชิพ” ขึ้นมากกว่าลง แนะสอยหุ้น Laggard-ต่ำบุ๊ก-ปันผลสูงช่วง SET ผันผวน


ช่วงนี้คาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,660 – 1,680 จุด มองว่าตลาดตอบรับประเด็นลบจากข้อพิพาทการค้าไปพอสมควรแล้ว ขณะเดียวกันท่าทีจากธนาคารกลางจีนทำให้การตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ-จีนดูเบาบางลง นอกจากนี้ความไม่แน่นอนในเรื่องสงครามการค้าจะหนุนให้ Fed พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามทิศทางการลงทุนในช่วง 7 เดือนแรกปี 2562 ยังสดใสโดยจากการสำรวจของทีมข่าวข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่าในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเทียบได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET) ณ วันที่ 28 ธ.ค. 2561 อยู่ที่ระดับ 1,563.88 จุด ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 1,711.97 จุด ณ วันที่ 31 ก.ค.62 บวกไป 148.09 จุด หรือเพิ่มขึ้น 9.46%

ส่วนดัชนี SET50 ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาโดยเทียบได้จากดัชนี ณ วันที่ 28 ธ.ค. 2561 อยู่ที่ระดับ 1,044.92 จุด มายืนอยู่ที่ระดับ 1130.92 จุด ณ วันที่ 31 ก.ค.62 บวกไป 86.00 จุด หรือเพิ่มขึ้น 8.23% โดยกลุ่มหุ้น SET50 ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมามีหุ้นปรับตัวขึ้นได้มากถึง 36 ตัว ปรับตัวลดลง 13 ตัว ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 1 ตัว ดังตารางประกอบ

โดยบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสูงสุดในกลุ่มโดยราคาหุ้นในช่วง 7 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 154.50%  จากยืนที่ระดับ 30.75 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 78.25 บาท ณ วันที่ 31 ก.ค.62 โดยได้รับแรงหนุนจากแผนธุรกิจเด่นและคาดว่าปีนี้จะเป็นปีทองของ CBG

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า  CBG คาดกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/62 อยู่ที่ 533 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง +154% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ +27%เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากอัตรามาร์จิ้นที่ดีขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เราคาดยอดขายอยู่ที่ 3,736 ล้านบาท (+3%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +11%เทียบไตรมาสก่อนหน้า) จากการคาดรายได้ในประเทศในกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานเพิ่มขึ้น 3%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามตลาดอุตสาหกรรมเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นจากช่วง high season ฤดูร้อน

ด้านยอดขายส่งออกเราคาดเพิ่มขึ้น 6%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (สัดส่วนรายได้ส่งออกคาด 47% ของรายได้รวม) โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากประเทศกัมพูชาเป็นหลัก คาดยอดขายจีนใน ไตรมาส 2/62 อยู่ที่ 30 ล้านหน่วย เริ่มเพิ่มขึ้นเนื่องจากผ่านช่วงโลว์ซีซั่นหน้าหนาวในจีนแล้ว

ในขณะที่คาดอังกฤษยอดขายยังทรงตัวจากช่วงสร้างแบรนด์ คาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอยู่ที่ 20% จาก 25%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดค่าใช้จ่ายการตลาด และคาดอัตรามาร์จิ้นดีขึ้นอยู่ที่ 37% จาก 32%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับสูตรความหวานน้ำตาลลดลงและอัตรากำลังการผลิตกระป๋องที่เพิ่มขึ้น เราคาดรับรู้ขาดทุนจากอังกฤษ ICUK ที่ 110 ล้านบาท ใกล้เคียงในไตรมาส1/62 แต่ลดลงจากไตรมาส 2/61 ที่ 272 ล้านบาท

ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากผลประกอบการเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้เป็ต้นไป จากอัตราทำกำไรที่เพิ่มขึ้นและการลดค่าใช้จ่ายในอังกฤษลง เราปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็นปี 2020 อยู่ที่ 87.50 บาท จาก 70.75 บาท อ้างอิง PER +2STDV ที่ 31X จากโอกาสการเติบโตของการส่งออก ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER20F ที่ 27.8X เทียบเท่า PEG20F ที่ 1.2X ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มเครื่องดื่มที่ 2.2X และ ROE20F อยู่ที่ 30.5% มากกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 13.2%

ด้านหุ้นที่ปรับตัวลดลง 13 ตัว SCC,BPP,CPN,BANPU,KBANK,BH,BBL,TMB,GLOBAL,PTTGC, IRPC,DELTA และ IVL ตรงนี้ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เข้าเก็บหุ้นพื้นฐานดีราคา Laggard  เข้าพอร์ต ขณะเดียวกันหากสังเกตราคาหุ้นบางตัวพบว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี อาทิ BBL,PTTGC,KTB,BANPU,TMB และ TCAP

นอกจากนี้หากสังเกตยังพบว่ามีหุ้นหลายตัวต่ำกว่า P/E ตลาดหลักทรัพย์ (SET) ณ วันที่ 5 ส.ค. อยู่ที่ 18.20 เท่า อาทิ TMB,PTTGC,BANPU,TCAP,IVL,KTB,BBL, KKP,KBANK, TISCO,SCC,SCB,PTT,LH,DELTA,CPF,BPP,RATCH,PTTEP และ TOP ตรงนี้ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้พิจารณาเข้าเก็บหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ตอีกทาง ที่สำคัญอย่าลืมว่าหุ้นกลุ่ม SET50 ส่วนใหญ่มีปัจจัยหนุนทั้งในเรื่องมาตรการภาครัฐ และเงินปันผลสูง

บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,660 – 1,680 จุด มองว่าตลาดตอบรับประเด็นลบจากข้อพิพาทการค้าไปพอสมควรแล้ว ขณะเดียวกันท่าทีจากธนาคารกลางจีนทำให้การตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ-จีนดูเบาบางลง นอกจากนี้ความไม่แน่นอนในเรื่องสงครามการค้าจะหนุนให้ Fed พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน ทยอยสะสมหุ้นกลุ่มที่แข็งกว่าตลาด ดังต่อไปนี้

1) กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ CPALL AMATA BTS ORI TFFIF

2) กลุ่มปันผลสูง JASIF TISCO LH TCAP

3) กลุ่มสื่อสารได้ประโยชน์จากการแข่งขันลดลง (รายได้เพิ่ม ต้นทุนลด) TRUE DTAC ADVANC INTUCH

4) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก IMO 2020 TOP PRM BGC

5) ปัจจัยบวกเฉพาะตัว CPF GUNKUL TPCH MINT PTT JWD JAS AOT COM7

ส่วนประเด็นเศรษฐกิจที่น่าติดตามสัปดาห์นี้ วันพุธ(7ส.ค.)ติดตามผลการประชุมกนง.ของไทย และตัวเลขสต็อคน้ำมันดิบสหรัฐฯประจำสัปดาห์ตลาดคาด -3.3 ล้านบาร์เรล วันพฤหัส(8 ส.ค.)จีนจะมีรายงานดุลการค้า(ก.ค.) วันศุกร์ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของจีน(ก.ค.) และรายงานประจำเดือนของ IEA

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button