III โชว์ผลงานไตรมาส 2/62 นิวไฮ โบรกฯฟันครึ่งปีหลังโตต่อ เคาะเป้า 8.10 บ. อัพไซด์เกิน 20%
III โชว์ผลงานไตรมาส 2/62 นิวไฮ โบรกฯฟันครึ่งปีหลังโตต่อ เคาะเป้า 8.10 บ. อัพไซด์เกิน 20%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้น บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III หลังรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/62 มีกำไรเติบโตสร้างสถิติจุดสูงสุดใหม่ที่ 50.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% มาที่ จากปีก่อนมีกำไร 38.36 ล้านบาท ส่วน 6 เดือนแรกมีกำไร 93.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อนมีกำไร 64.27 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการไว้
ด้านราคาหุ้น III วานนี้ (7 ส.ค.) ปรับตัวลงมาที่ 6.60 บาท ลบ 0.35 บาท หรือ 5.04% มูลค่าซื้อขาย 35.25 ล้านบาท จึงยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่ 8.10 บาท อยู่ 23%
โดย นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น III ประเมินราคาเป้าหมาย 8.10 บาท/หุ้น โดยกำไรประจำไตรมาส 2 ออกมาตรงตามคาดอยู่ที่ 50.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 17.6% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ซึ่งกำไรของบริษัทในไตรมาส 2/62 ถือว่าเป็นกำไรที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้ยังคงสดใสต่อเนื่องโดย และยังคงเป้าหมายเติบโตในกำไรของบริษัทที่ 30% ในปีนี้
ขณะที่ นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร III เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากโดยปกติของอุตสาหกรรมเป็นช่วงไฮซีซั่นที่มีการใช้บริการการขนส่งเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งปีแรก แต่อย่างไรก็ตามยังเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยต่างๆที่กระทบต่อภาพรวมของการส่งออกอยู่มาก ได้แก่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้การค้าขายโลกเกิดการชะลอตัว ประกอบกับการเข็งค่าของเงินบาทที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นการชะลอของปริมาณการส่งออก
ขณะที่แนวโน้มค่าระวางในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะทรงตัวหรือมีโอกาสลดลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากการชะลอตัวของภาคส่งออก อีกทั้งการแข่งขันในอุตสาหกรรมยังสูง และมีการแข่งขันด้านราคาเข้ามาด้วย
อย่างไรก็ตามบริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ในปี 62 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 20% ซึ่งมาจากการที่บริษัทยังมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และยังรับรู้รายได้จากธุรกิจในสิงคโปร์ที่บริษัทถือหุ้น 50% ในบริษัท DG Packaging Pte. Ltd. (DGP) ซึ่งเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์และให้บริการรับบรรจุสำหรับสินค้าอันตรายที่ใช้ในการขนส่งสินค้า ที่ความต้องการใช้บริการของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านการการร่วมทุนกับ Teleport ในการจัดตั้งบริษัทใหม่ คือ เทเลพอร์ต ไทยแลนด์ ที่จะเปิดดำเนินการให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศในวันที่ 1 ม.ค. 63 คาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนกำไรจากธุรกิจขนส่งทางอากาศเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบันที่อยูในระดับ 50% โดย III ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และ Teleport ถือหุ้น 49% ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมทั้งบุคคลากร ลงทุนเทคโนโลยี
โดยหลังจากเปิดให้บริการแล้วบริษัทจะมีฐานลูกค้าเครือข่ายของแอร์เอเชียเพิ่มเป็น 9 สายการบิน จากปัจจุบันมีอยู่ 2 สายการบิน คือ ไทยแอร์เอเชีย และไทยแอร์เอเชียเอ๊กซ์ พร้อมกับจะเปิดบริการขนส่งสินค้าภายในวันเดียวกัน (Same day dilivery) เพื่อรองรับตลาด E-Commerce ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงกว่า 30% ในภูมิภาคอาเซียน ต่างจากตลาด Cargo เดิมที่มีอัตราเติบโตต่ำเพียง 1%
นอกจากนี้ บริษัทยังเจรจากับพันธมิตรอื่นๆ ที่บริษัทสนใจในการเข้าซื้อกิจการและการเข้าร่วมทุนในการลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ในต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่มาต่อยอด มีนวัตกรรม และเป็นการเข้ามาเติมเต็มช่องว่างทางการตลาดและเป็นบริการใหม่ที่นำมาเสนอให้กับลูกค้ามีตัวเลือกมาขึ้น โดยอยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 รายคาดว่าจะทยอยมีความชัดเจนในปี 63
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการศึกษาเกี่ยวกับการให้บริการขนส่งทางอากาศในประเทศ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะมีอัตราค่าบริการที่สูง ซึ่งบริษัทมองเห็นถึงโอกาสที่จะผลักดันการไห้มีการใช้บริการเพิ่มขึ้น เพราะสายการบินในประเทศไทยมีตารางบินเป็นจำนวนมาก โดยอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบบริการที่มีอัตราค่าบริการที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น และเป็นการเพิ่มรายได้จากการขนส่งในประเทศให้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันรายได้ของบริษัทมาจากต่างประเทศเป็นหลัก เพราะมีความเกี่ยวข้องกับภาคการส่งออก
สำหรับการเติบโตของบริษัทยังคงมาจากการเติบโตจากธุรกิจหลักและการเติบโตจากการซื้อกิจการหรือร่วมลงทุนกับพันธมิตร ดังนั้น หากบริษัทมองเห็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจก็พร้อมที่จะเข้าลงทุน แม้ว่าปัจจุบันบริษัทจะใช้เงินที่ได้จากการขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) ไปหมดแล้วก็ตาม แต่บริษัทยังมีเครื่องมือทางการเงินอื่นๆที่รองรับ และยังมีความสามารถในการขอกู้ยืมสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ เพราะยังมีหนี้สินในระดับต่ำ ซึ่งมีระดับหนี้สินต่อทุน (D/E) ในปัจจุบันอยู่ที่ 0.6 เท่า
โดยการสร้างการเติบโตของบริษัทเพื่อทำให้รายได้สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย 3 ปี (ปี 62-64) ที่ตั้งไว้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี และหวังผลักดันให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายรายได้ที่ 20% ต่อปีด้วย ทำให้มีนักลงทุนสถาบันต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในบริษัทมากขึ้นในอนาคต จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในบริษัทที่ 1.45% ซึ่งมองว่าหากบริษัทมี Market Cap เพิ่มขึ้นจะสามารถดึงดูดความสนใจของนักลงทุนสถาบันต่างชาติได้ โดยปัจจุบัน Market Cap ของบริษัทอยู่ที่ 4.21 พันล้านบาท