คัด 14 หุ้นลงทุนเดือนพ.ย.โบรกฯเน้นเคาะหุ้นพื้นฐานราคาลงลึก-กำไร Q3/62 แข็งแกร่ง
คัด 14 หุ้นลงทุนเดือนพ.ย.โบรกฯเน้นเคาะหุ้นพื้นฐานราคาลงลึก-กำไร Q3/62 แข็งแกร่ง
เข้าสู่การลงทุนเดือนพฤศจิกายน ปี 2562 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอ โดยอาศัยบทวิเคราะห์จาก 3 โบรกเกอร์ชั้นนำของไทยนำโดย บล.เคจีไอ,บล.กรุงศรี และบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
โดยโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองว่าภาวะตลาดในเดือนพ.ย.จะฟื้นตัวได้ดี เนื่องจากตลาดมีความคาดหวังมากขึ้นต่อการเข้าสู่ช่วง High season ของหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงที่เหลือของปี อีกทั้งคาดเม็ดเงิน LTF ที่มักจะไหลเข้ามาพยุงตลาดในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จำกัด Downside ของตลาด
ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงเน้นลุ่มธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วง High season และกลุ่มหุ้นพื้นฐานที่ราคาลดลงแรงในช่วงก่อนหน้าจน Valuation น่าสนใจ รวมทั้งหุ้นที่งบไตรมาส 3/2562 แข็งแกร่งและมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวอาทิ BBL,BCH,CPF,ERW, SPRC,TOP, AOT,AMATA, CPALL,SAWAD,BDMS, HMPRO,CHG, JMT ซึ่งระบุไว้ในบทวิเคราะห์ดังนี้
บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มุมมอง SET เดือน พ.ย. น่าจะฟื้นตัวได้แต่ครึ่งหลังของเดือนมีลุ้นมากกว่าช่วงครึ่งแรกของเดือน หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานไปแล้ว ทางประเมินว่าตลาดน่าจะฟื้นตัวในเดือนนี้ โดยธีมการลงทุนหลักของเดือนนี้คือ ‘ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอยได้ลดลงไป ในขณะที่ราคาหุ้นได้สะท้อนภาพมหภาคในประเทศ/ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อ่อนแอไปมากแล้ว’
โดยมองว่าผลประกอบการที่ไม่สดใสสำหรับไตรมาส 3/2562 และการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2562 (โดย สศช. ในวันที่ 18 พ.ย.) น่าจะเป็นปัจจัยถ่วงตัวท้าย ๆ ที่ฉุดหุ้นเอาไว้ ก่อนที่ตลาดน่าจะฟื้นได้ครึ่งหลังของเดือนนี้ จากประเด็นข่าวเศรษฐกิจโลกที่เป็นบวกมากขึ้น และแรงหนุนจากสภาพคล่องส่วนเกินจากการที่ฝั่งยุโรปเริ่มใช้มาตรการซื้อพันธบัตรอีกครั้ง
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ earnings yield gap ประเมินว่ากรณีเลวร้าย ดัชนีฯ ไม่น่าจะลงไปต่ำกว่าระดับ 1,560-1,570 จุด ซึ่งมีความเสี่ยงทางลงไม่มากนัก นอกจากนี้จากการศึกษาสถิติของตลาดหุ้นพบว่าแรงซื้อจากฝั่งสถาบันในประเทศน่าจะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ตามกระแสการเข้าซื้อกองทุน LTF เพื่อสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้เป็นปีสุดท้ายของกองทุน LTF แบบเก่าซึ่งให้สิทธิการลดภาษีค่อนข้างสูง
ทางมองว่าหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวในเดือนนี้ จากกระแสข่าวบวกเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนกลุ่มเล่นจากหุ้นเชิงรับ (defensive) ไปเป็นหุ้นตัวหลักๆ ที่เชื่อมโยงกับปัจจัยเศรษฐกิจมากขึ้น ดังนั้นแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มหุ้นตัวใหญ่และหุ้นที่น่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ออกมาดีเข้ามาในพอร์ต
โดยประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจในเดือน พ.ย. ได้แก่ i) การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มโรงกลั่นซึ่งมีแนวโน้มกำไรฟื้นตัวแรงในปีหน้า ii) ความแข็งแกร่งของหุ้นเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยว iii) หุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 3/2562 น่าจะเติบโตดี เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ iv) หุ้นที่มีข่าวบวกเฉพาะตัว เช่นประเด็นที่ MSCI จะประกาศรายชื่อหุ้นเข้า/ออกจากดัชนีฯ ในเช้าวันที่ 8 พ.ย. ตามเวลาประเทศไทย
ทั้งนี้หุ้นแนะนำในเดือน พ.ย. ตามข้างต้นประกอบด้วย SPRC*, TOP*, AOT*, AMATA*, BCH*, CPALL* และ SAWAD*
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มเดือน พ.ย. คาด SET Index จะผันผวนในกรอบ 1,560 -1,640 จุด ดัชนียังขาดกลุ่มนำตลาด แม้จะมีปัจจัยบวกจาก Trade war เริ่มคลี่คลาย แต่ก็ยังถูกกดดันจากผลประกอบการไตรมาส3/62 ของบริษัทจดทะเบียนที่ยังอ่อนแอ
อีกทั้งยังมีปัจจัยลบจาก MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้น A- Share ของจีนเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ (27 พ.ย.62) ทำให้ภาพรวมดัชนียังไม่ไปไหน กลยุทธ์การลงทุนเดือน พ.ย.ยังเป็น Selective buy เน้นกลุ่มธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วง High season ในไตรมาส 4 คือ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มที่ราคาหุ้นลดลงแรงในช่วงก่อนหน้าจน Valuation น่าสนใจ และมี Catalyst หนุนเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มธนาคาร และ กลุ่มสินค้าเกษตร Top pick เดือน พ.ย. BBL, BCH, CPF, ERW, และ MINT
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เข้าสู่เดือนพฤศจิกายน คาดประเด็นสำคัญของเดือนนี้คือ การเจรจาการค้าเฟส 1 ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยความคืบหน้าล่าสุด พบว่า หัวหน้าคณะเจรจาการค้าของจีนและสหรัฐฯ จะจัดการสนทนาทางโทรศัพท์กันในวันนี้ และด้านนายโฮแกน กิดลีย์ โฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยว่า สหรัฐยังคงคาดหวังว่าจะสรุปเนื้อหาข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนได้ภายในเดือนพ.ย. ซึ่งหากมีบทสรุปที่ดี คาดจะช่วยกระตุ้นการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มเติม
ส่วนปัจจัยในประเทศ ในช่วงครึ่งเดือนแรกติดตามการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน โดยรวมกำไรในไตรมาสนี้อาจไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นก็มีการตอบรับปัจจัยลบดังกล่าวไปในระดับหนึ่งแล้ว และถ้าผ่านพ้นประเด็นนี้ไปได้คาดตลาดจะมีความคาดหวังมากขึ้นต่อการเข้าสู่ช่วง High season ของหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงที่เหลือของปี อีกทั้งคาดเม็ดเงิน LTF ที่มักจะไหลเข้ามาพยุงตลาดในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี คิดเป็นกว่า 65% ของปริมาณซื้อขาย LTF ทั้งปีจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จำกัด Downside ของตลาด
Investment Strategy : SET ประเมินแนวรับที่ 1590 ต้าน 1610 จุด ย่อสะสมหุ้นพื้นฐานดี (BDMS, HMPRO, CHG, JMT)
ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน