เคาะ 9 หุ้นลงทุนเดือนม.ค.โบรกฯเน้นราคาลงลึก-ปันผลสูง รับ Trade war คลี่คลาย
เคาะ 9 หุ้นลงทุนเดือนม.ค.โบรกฯเน้นราคาลงลึก-ปันผลสูง รับ Trade war คลี่คลาย
เข้าสู่การลงทุนเดือนแมกราคม 2563 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอ โดยอาศัยบทวิเคราะห์จาก 3 โบรกเกอร์ชั้นนำของไทยนำโดย บล.กสิกรไทย,บล.ฟินันเซีย ไซรัส,บล.กรุงศรี
โดยโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองว่าโดยสถิติชี้ตลาดหุ้นเดือน ม.ค. ให้ผลตอบแทนเป็นบวกโดยสถิติย้อนหลัง 5 ปี SET Index เดือนม.ค.บวกทั้ง 5 ปีเฉลี่ย 3.6% เทียบเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดของปี เนื่องจากบรรยากาศการค้าที่ผ่อนค้าและตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศหลักๆในโลกที่ค่อยๆดีขึ้น โดยแนะนำหุ้น ADVANC,CBG,RBF,SFLEX,TMB,PTTGC,BCP,AP,LH ซึ่งระบุไว้ในบทวิเคราะห์ดังนี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่า SET Index จะยังคงแกว่งตัว Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,570-1,590 จุด โดยประเด็นหนุนคือการลงนามข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ม.ค.นี้รวมถึง PBOC ที่ปรับลด RRR ลง 0.5%
อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามทั้งเรื่อง Brexit รวมถึงการเมืองในประเทศทั้งในและนอกสภา ยังเน้นให้เลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัวและราคาปรับตัวลงแรงในช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้าโดยเฉพาะหุ้นที่ให้ Dividend Yield ระดับสูง กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาและโดยเฉพาะที่ปันผลสูง//ส่วนที่สะสมไปแล้วยังเน้นถือต่อ
อีกทั้งมีมุมมองตลาดหุ้นปี 2563 คาดศก.ไม่ถดถอยแต่อยู่ในช่วงปลายวัฏจักรขาขึ้น หุ้นจึงเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ ตลาดหุ้นเอเชียปีนี้น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ศก.ไทยยังฟื้นตัวแบบอ่อนๆและยังต่ำกว่าศักยภาพมาก จึงประเมิน SET Target ที่ 1,720 จุด (คาด EPS growth +9.5% อิง PE 17 เท่า) มี upside เพียง 8% จากปัจจุบัน กลุ่มที่ชอบในปีนี้ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ ค้าปลีก เกษตรและอาหาร ไฟแนนซ์ สื่อสาร และรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มที่มองเป็นกลางคือ ธนาคาร ท่องเที่ยว อสังหาฯ และอิเล็คทรอนิกส์ กลุ่มที่มีมุมมองเป็นลบ ได้แก่กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ประกัน และยานยนต์
โดยสถิติชี้ตลาดหุ้นเดือน ม.ค. ให้ผลตอบแทนเป็นบวก สถิติย้อนหลัง 5 ปี SET Index เดือน ม.ค. บวกทั้ง 5 ปีเฉลี่ย 3.6% M-M เป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดของปี คิดว่าปีนี้มีโอกาสเป็นไปตามสถิติหนุนโดยบรรยากาศการค้าที่ผ่อนค้าและตัวเลขศก.ของประเทศหลักๆในโลกที่ค่อยๆดีขึ้น แต่ผลตอบแทนอาจน้อยกว่าในอดีตเพราะการเมือง มาตรการบัญชีใหม่ และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เริ่มใช้ตั้งแต่ต้นปี หุ้นเดือนนี้จึงเน้นหุ้นในประเทศที่ไม่ถูกกระทบจากประเด็นดังกล่าวและราคาปรับลงต่ำกว่าพื้นฐานมาก ได้แก่ ADVANC, CBG, RBF, SFLEX, TMB
บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลยุทธ์การลงทุนเดือนมกราคม ตลาดอาจผันผวนอ่อนๆในช่วงต้นเดือนเนื่องจากแรงซื้อของกองทุน SSF ยังจำกัด และนักลงทุนต่างประเทศอาจชะลอดูผลของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงประเด็นจากต่างประเทศที่กล่าวไปข้างต้น
อย่างไรก็ตามประเมินว่าด้วย Sentiment การค้าที่คาดจะมีการลงนาม และอาจเห็นรายละเอียดใน Phase2 จะเป็นตัวจำกัด Downside ได้ในระยะสั้น โดยทำการศึกษาถึงผลตอบแทนของ SET ช่วงไตรมาสแรกของปีนับตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงินโลกในปี 2551 และพบว่า SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวกติดต่อกันถึง 10 ปี ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 6% และหากวัดผลตอบแทน SETHD ย้อนหลัง 5ปี พบว่าสถิติค่อนข้างดี โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเด่นกว่า 7% เมื่อเทียบกับ SET ที่ 4% ด้วยเหตุผลที่ทำการศึกษามา แนะนักลงทุน เริ่มสะสมหุ้นในเดือน ม.ค. และขายเดือน เม.ย. นำโดย PTTGC (63.50), BCP (31.50), AP (7.50), LH (11.20)
พร้อมแนะนำกลุ่มหุ้นอื่นๆ ได้แก่ 1) กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ CPALL BTS ORI TFFIF STEC CK 2) กลุ่มปันผลสูง JASIF LH TISCO TCAP 3) กลุ่มสื่อสารได้ประโยชน์จากการแข่งขันลดลง (รายได้เพิ่ม ต้นทุนลด) TRUE DTAC ADVANC INTUCH 4) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก IMO 2020 TOP PRM BGC TASCO 5) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนฟื้น AOT ERW MINT CENTEL 6) ปัจจัยเฉพาะตัว CPF GUNKUL TPCH JAS OSP TKN MEGA TU GFPT BDMS IVL RBF MAJOR PTT PTTEP BLA JMT
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มุมมองเป็นกลางคาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,570 – 1,585 จุด โดยภาวะตลาดได้แรงหนุนจากข่าว ปธน.ทรัมป์เตรียมลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนที่ทำเนียบขาวในวันที่ 15 ม.ค. และจะเดินทางไปกรุงปักกิ่งเพื่อเริ่มต้นเจรจาเฟสสอง รวมถึงธนาคารกลางจีนเตรียมลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน RRR ลง 0.5% เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริงซึ่งเป็นบวกต่อบรรยากาศการลงทุน
อย่างไรก็ตามเงินบาทที่แข็งค่าสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปีที่ระดับ 29.8 บาท/ดอลลาร์ นั้นจะกดดันต่อหุ้นกลุ่มส่งออก เช่น Etron, Food ประกอบกับกระแส Fund flow ต่างชาติที่คาดว่าจะยังชะลอตัวช่วงเทศกาลปีใหม่ซึ่งจะกดดันให้ภาวะตลาดผันผวนง่าย
สำหรับภาพรวมการลงทุนเดือน ธ.ค. SET Index ให้ผลตอบแทน -0.7% ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 อย่างไรก็ตามเมื่อรวมทั้งปี SET Index ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกที่ 1% ส่วนพอร์ตการลงทุนของ KSS เดือน ธ.ค.ให้ผลตอบแทนแย่กว่าตลาดโดยติดลบ 4.9% แต่เมื่อรวมผลตอบแทนทั้งปี KSS port ให้ผลตอบแทนรวม 18.6% ชนะตลาด
ส่วนมุมมองปีนี้ KSS ยังมองบวก โดยให้ Theme การลงทุนเป็น Macro play หรือมองภาพเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากปัญหา Trade war ระหว่างจีนจะค่อยๆคลี่คลายซึ่งจะส่งผลบวกทางอ้อมต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยให้ฟื้นตัวตามไปด้วย โดยปีนี้ให้ SET target ที่ 1,800 จุด จากคาดการณ์ EPS ของตลาดที่ 106 บาท และ Forward pe ที่ 17 เท่า โดยมีหุ้น Top pick ในช่วงไตรมาส1/63 คือ CPF, IVL, MINT, SPRC และ VNT
ด้านปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐเริ่มเห็นสัญญาณทางบวกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ทวิตข้อความระบุว่า สหรัฐจะเซ็นลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนในวันที่ 15 ม.ค.นี้ พิธีลงนามจะจัดขึ้นที่ทำเนียบขาว โดยจะมีผู้แทนระดับสูงของจีนเข้าร่วม
จากนั้นสหรัฐกับจีนจะเร่งเดินหน้าเพื่อเจราข้อตกลงสำหรับเฟส 2 ต่อไป นับเป็นข่าวบวกต้อนรับปีใหม่คาดว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อภาพเศรษฐกิจ และการลงทุนของโลก และจะเป็นผลดีต่อกลุ่ม Global play โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรฯซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบจากสงครามการค้าอย่างหนักในช่วงปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน