เปิด 19 หุ้นได้ประโยชน์น้ำดิบร่วงหนัก-กดต้นทุนพลังงานลดฮวบ!
เปิด 19 หุ้นได้ประโยชน์น้ำดิบร่วงหนัก-กดต้นทุนพลังงานลดฮวบ!
ราคาน้ำมันดิบโลกร่วงหนักหลังโอเปกและพันธมิตรประสบความล้มเหลวในข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมเมื่อวันที่ 6 มี.ค.63 เนื่องจากกลุ่มโอเปกและพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิต โดยกลุ่มโอเปกได้เสนอให้ปรับลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มโอเปกและพันธมิตรจะมีการลดกำลังการผลิตทั้งหมด 3.2ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อชดเชยความต้องการใช้น้ำมันที่หายไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตามรัสเซียไม่เห็นด้วยกับปริมาณการลดกำลังการผลิตดังกล่าว โดยยืนยันให้กลุ่มโอเปกและพันธมิตรคงการลดกำลังการผลิตตามข้อตกลงเดิมในปีที่แล้วที่ระดับ 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่อไปจนถึงสิ้นไตรมาส1 ทั้งนี้กลุ่มโอเปกและพันธมิตรจะพิจารณาสถานการณ์และอาจจะประชุมอีกครั้งหากมีความจำเป็น
นอกจากราคาน้ำมันดิบในคืนวันศุกร์ (6 มี.ค.63) ร่วงมากกว่า 10% ด้านซาอุดิอาระเบีย ได้ประกาศลดราคาขายน้ำมันดิบที่ส่งไปขายทั่วโลกในเดือน เม.ย. ลงประมาณ 6-8 ดอลลาร์ และประกาศจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด เพราะต้นทุนการผลิตน้ำมันต่ำกว่ารัสเซียและสหรัฐ ส่งผลให้ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาถึง 35 ดอลลาร์/บาร์เรล (เบรนท์) และมีแนวโน้มที่จะลงไปอีกที่ประมาณ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล
ปัจจัยดังกล่าวได้กดดันให้ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้(9 มี.ค.63)ปรับตัวลงแรงกว่า 108 จุด เนื่องจากมีแรงขายหุ้นพลังงานทั้งกลุ่มโดยเฉพาะ PTT, PTTEP ออกมากดดันตลาดอย่างหนัก
อย่างไรก็ตามทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบร่วงหนักมานำเสนอเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในช่วงดังกล่าว
โดยกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ อาทิ กลุ่มสายการบิน,วัสดุก่อสร้าง,โรงไฟฟ้า SPP จากต้นทุนลงเร็วกว่ารายได้ที่ FT ลง, ผู้ประกอบการที่ต้นทุนอิงพลังงาน และกลุ่มการบริโภคจากกำลังซื้อเพิ่มเนื่องจากต้นทุนการใช้พลังงานลด
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ 19 ตัว อาทิ AAV, BA, NOK, THAI, CK, ITD, STEC, UNIQ, SCC, TASCO, TOA, EPG, GULF, BGRIM, GPSC, OSP, BJC, BGC และ CPALL โดยบทวิเคราะห์ระบุไวดังนี้
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มสงครามราคาน้ำมันกดดันกลุ่มพลังงานถ่วงตลาด โดยมีกรอบแนวรับถัดไป 1320-1280 จุด(worst case 1200-1165จุด) กลยุทธ์ยังลดการเก็งกำไร เน้นสะสมหุ้นอิงเศรษฐกิจภายใน หรือ กลุ่ม Theme เด่น เพื่อระยะยาว
โดยราคานำมันดิบลงแรง หลังซาอุฯประกาศลดราคา Premium เป็นลบต่อ – กลุ่มพลังงานปิโตรเลียม, โรงกลั่น(ลบจาก Stock Loss), และหากกินเวลานานจะเป็นลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า Renewable energy , สินค้าทดแทนอื่น (NGV – SCN, น้ำมันปาล์ม GGC) รถยนต์ไฟฟ้า (EA, KCE) และโรงพยาบาล (BH, BDMSเนื่องจากกลุ่มตะวันออกลางอาจชะลอลง)
ส่วนเป็นบวกได้แก่ – สายการบิน, วัสดุก่อสร้าง (TASCO, TOA, EPG), โรงไฟฟ้า SPP จากต้นทุนลงเร็วกว่ารายได้ที่ FT ลง (GULF, BGRIM, GPSC), ผู้ประกอบการที่ต้นทุนอิงพลังงาน (OSP, BJC, BGC) และกลุ่มการบริโภคจากกำลังซื้อเพิ่มเนื่องจากต้นทุนการใช้พลังงานลด(CPALL)
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent ร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญเกือบ 30% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงในวันมากสุดนับตั้งแต่สงครามอ่าว (Gulf War) ปี 2534 หลังการประชุมของกลุ่ม OPEC + ล้มเหลวและไม่มีการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมตามที่คาดการณ์ไว้ ไม่เพียงแค่นั้น ข้อตกลงการลดกำลังการผลิตเดิมที่วันละ 2.1 ล้านบาร์เรลที่กำลังจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคมนี้ก็ไม่ได้รับการต่ออายุจากที่ประชุมอีกด้วย
ที่สำคัญที่สุดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซาอุดิอาระเบียได้ออกมาตรการตอบโต้ด้วยการให้ส่วนลดน้ำมันจากราคาอ้างอิงกับโรงกลั่นต่างๆที่เป็นฐานลูกค้าทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมออกมาตรการเพิ่มระดับ Supply ในตลาด เพื่อเป็นการกดราคาและกำจัด Supply ของคู่แข่งให้ออกไปจากตลาด สร้างความกังวลของนักลงทุนในตลาดว่ากำลังเข้าสู่สงครามทางด้านราคา (Price war) ในตลาดน้ำมันอย่างแท้จริง
ทั้งนี้จากการคำนวณผลกระทบทางด้านราคาของหุ้นของกลุ่มพลังงานที่มีต่อ SET Index จะพบว่า การปรับตัวลงของดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานทุก 1% จะนำมาสู่การปรับลงของ SET Index ที่ 0.2% บนสมมติฐานที่ว่าตัวแปรอื่นๆคงที่ ด้วยเหตุนี้ หากวันนี้ดัชนีกลุ่มพลังงานปรับลงถึง 10% จะทำให้ SET Index ปรับตัวลงสู่ระดับ 1334 จุดได้เป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ มองการปรับตัวลงของราคาน้ำมันในวันนี้(19มี.ค.63) อาจเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มบริโภคน้ำมันอย่างเช่นกลุ่มสายการบินได้ อาทิ AAV, BA, NOK, THAI
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้คาดยังคงอิงกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในยุโรปและสหรัฐ นอกนั้นเป็นเรื่องของตลาดหุ้นสหรัฐจะตอบสนองอย่างไร หลังวันศุกร์ดัชนีดิ่งลงไปเกือบ 900 จุดแต่ดีดขึ้นมาปิดลบ 250 กว่าจุด ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐคาดจะยังแกว่งในกรอบกว้างและไร้ทิศทาง ผลการประชุมกลุ่ม OPEC ปรากฏว่าผลการประชุมประสบความล้มเหลว
โดยทางรัสเชีย ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มที่จะลดกำลังการผลิต 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน ความล้มเหลวดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงในคืนวันศุกร์มากกว่า 10%
ขณะที่ทางซาอุดิอาระเบีย ก็ประกาศลดราคาขายน้ำมันดิบที่ส่งไปขายทั่วโลกในเดือน เม.ย. ลงประมาณ 6-8 ดอลลาร์ และประกาศจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีกเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาด เพราะต้นทุนการผลิตน้ำมันต่ำกว่ารัสเซียและสหรัฐ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาถึง 35 ดอลลาร์/บาร์เรล (เบรนท์) ในวันนี้(9มี.ค.63) และมีแนวโน้มที่จะลงไปอีกที่ประมาณ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล คาดจะส่งผลต่อหุ้น PTTEP และ PTT
แนวโน้มดัชนีในวันนี้(9 มี.ค.63) คาดตลาดจะมีแรงกดจากแรงขายหุ้นพลังงานทั้งกลุ่มโดยเฉพาะ PTT PTTEP คาดดัชนีน่าจะเปิดในแดนลบแรงตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคและดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า สลับจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการดิ่งลงของราคาน้ำมันรวมทั้งผลิตไฟฟ้า โดยมองแนวรับที่ 1345-1335 จุด และแนวต้านที่ 1370-1375 จุด แนะนำ เก็งกำไร SCC TASCO
Themes play :ซื้อเก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับลงแรง : แนะนำ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันดิบ (WTI) ปรับตัวลดลงแรง 10% เมื่อคืนวันศุกร์(6 มี.ค.63)และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าในเช้าวันนี้(9มี.ค.63) ที่ยังปรับลดลงต่ออีก -20% มาอยู่ที่ระดับ 32.64 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่ซาอุฯ ประกาศปรับลดราคาขายน้ำมันลง 6-8 ดอลลาร์/บาร์เรลและมีแผนปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวันตอบโต้รัสเซียที่ไม่ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบตามที่กลุ่มโอเปกได้มีการนำเสนอให้ลดกำลังการผลิตลงรวม 1.5 ล้านบาร์เรล/วันนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. ไปถึงสิ้นปีนี้ ในการประชุมวันศุกร์ที่ผ่านมา
โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ประกอบไปด้วยกลุ่มสายการบิน (แต่ก็ได้รัลผลกระทบรุนแรงจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงมากในช่วงนี้จากการระบาดของ Covid-19) กลุ่มรับเหมา (CK ITD STEC UNIQ) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC TASCO) และกลุ่มที่มีต้นทุนมาจากน้ำมันดิบอย่าง EPG
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน