เปิดกลยุทธ์ลุยกลุ่มไฟฟ้า เน้นหุ้นเด็ดกระทบศก.ต่ำ-ราคาลงหนักเกินพื้นฐาน

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ซึ่งได้มีการวิเคราะห์หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า หลังจากที่ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลงมาอย่างหนักจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (17 มี.ค.63) โดยมีการปรับมุมมองจากกลุ่ม Cogen เป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ที่เป็นเชิงรับมากกว่า เนื่องจากความมั่นคงของรายได้ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง

โดย ปรับคำแนะนำของ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ขึ้นเป็น “ซื้อ” แต่ปรับมูลค่าที่เหมาะสมลงเป็น 71 บาท จากเดิม 74 บาท,

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เป็น “ซื้อ” จากเดิม “ขาย” มูลค่าที่เหมาะสม 306 บาท จากเดิม 304 บาท

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็น “ถือ” จากเดิม “ขาย” มูลค่าที่เหมาะสม 125 บาท จากเดิม 113 บาท,

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM แนะนำให้ “ถือ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 38 บาท จากเดิม 46 บาท

บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และ 61 บาท จากเดิม 82 บาท

โดยมองว่าผลประกอบการทั้งกลุ่มลดลง 19% โดยเฉลี่ยสำหรับปี 63 จากการใช้ไฟของอุตสาหกรรมที่ลดลง และราคาพลังงานที่ผันผวน และได้รวมประกาศใหม่ๆ ของ RATCH, EGCO และ GULF

อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าอยู่ระหว่างการปรับประมาณการลง

ผลประกอบการของกลุ่ม Cogen อาจออกมาต่ำกว่าคาด โดยมีมุมมองเชิงรับต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และปัญหาภาคอุตสาหกรรมจาก COVID-19 ทำให้การใช้ไฟฟ้าลดลง และการหาลูกค้าใหม่ๆ ทำได้ยากขึ้นท่ามกลางลูกค้าเดิมที่ลดลงในปี 63 แต่ราคาก๊าซที่ลดลงจะช่วยชดเชยผลของค่าไฟ และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงได้ ประมาณการปี 63 – 64ของเราต่ำกว่าที่ตลาดคาด 22 – 21% และ 27 – 14% สำหรับ BGRIM และ GPSC

ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังจากที่ราคาหุ้นนับตั้งแต่ต้นปี (-18 ถึง -40% เทียบกับตลาดที่ลดลง 31%) และมองว่ายังมีอัพไซด์สำหรับ RATCH และ EGCO ในขณะที่หุ้นโรงไฟฟ้าอื่นๆ แพงกว่าในภูมิภาค และด้วยโรงไฟฟ้า IPP ที่น่าสนใจมากขึ้น และยังซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าภูมิภาค

RATCH เป็นหุ้นแนะนำของกลุ่มจากผลประกอบการที่มั่นคง

เลือก RATCH เป็นหุ้นแนะนำของกลุ่ม โดยที่มีผลประกอบการเพียง 1% ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจเนื่องจากสัญญา 92% เป็นสัญญาในระยะยาว และปัญหาของ Mt. Emerald น่าจะรับรู้เข้าไปในราคาแล้ว คาดอัตราการผลิตลดลง 3% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ในปี 63 และเงินปันผลที่ 5.2% สูงกว่าจากทั้งในกลุ่มและภูมิภาค เราประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของกลุ่มอิง DCF และมีความเสี่ยงคือ ประสิทธิภาพในการผลิต, ปัญหาในการจ่ายไฟ และต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน