เปิดโผหุ้น SET50 ในรอบ 3 เดือนเหลือบวกแค่ 1 ตัว! โบรกฯแนะสะสมหุ้นลงลึกเกินพื้นฐาน
เปิดโผหุ้น SET50 ในรอบ 3 เดือนเหลือบวกแค่ 1 ตัว! โบรกฯแนะสะสมหุ้นลงลึกเกินพื้นฐาน
ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมารับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก และทำให้ธุรกิจในประเทศไทยชะลอตัวไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจท่องเที่ยว การบิน ธนาคาร การบริโภค การลงทุนต้องหยุดชะงัก ทำให้ภาครัฐต้องเร่งออกมาหามาตรการเยียวยาและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่1-2 ในช่วงที่ผ่านมา
โดยล่าสุดวานนี้(7เม.ย.63) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติมาตรการดูแลและเยียวยาโควิด-19 ระยะ 3 วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง
ดังนั้นคาดว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะช่วยหนุนให้ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้ เนื่องจากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นขาลง อย่างชัดเจน โดยเห็นได้จากดัชนี SET ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 อยู่ที่ระดับ 1579.84 จุด อ่อนตัวมาอยู่ที่ระดับ 1087.82 จุด ณ วันที่ 31 มี.ค.63 ลดลง 492.02 จุด หรือลดลง 45.22% นอกจากนี้นักลงทุนยังเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักจนทำให้หุ้นพื้นฐานแกร่งส่วนใหญ่ปรับตัวลงแรงเกินพื้นฐาน
ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET50 มานำเสนอเพื่อให้เห็นทิศทางและเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งราคาถูกเข้าพอร์ต โดยทำการเรียงลำดับข้อมูลราคาหุ้นจากขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุด โดยเปรียบเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62-31 มี.ค.63 ตามตารารางประกอบดังนี้
ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลกลุ่ม SET50 ในช่วง 3 เดือน พบว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนภาวะตลาดติดลบได้อย่างแข็งแกร่ง โดยราคาหุ้น ณ วันที่ 30 .ค.62 อยู่ที่ระดับ 13.50 บาท บวก 0.30 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2.22% มาอยู่ที่ระดับ 13.80 บาท
อย่างไรก็ตามแม้ว่าในช่วง 3 เดือนจะมีหุ้นบวกเพียง 1 ตัว แต่หากมองอีกด้านหุ้นทั้ง 49 ตัว ถือเป็นหุ้นพื้นฐานและมีหลายตัวที่ราคาอ่อนตัวลงแรงและราคาต่ำกว่า P/BV ที่ระดับ 1 เท่า อาทิ PTT,TRUE,TMB,IVL,IRPC,BANPU,KTB,PTTEP, TCAP,TOP,PTTGC,SCB,KBAN,BBL
ขณะเดียวกันจะเห็นว่าในช่วง 3 เดือนมีหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในระดับ 20-50% ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อมูลให้นักลงทุนพิจารณาในเพื่อเลือกสะสมหุ้นเข้าพอร์ตไว้ลงทุนในช่วงภาวะตลาดฟื้นตัวแรง
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ได้ทำการปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 63 มาที่ 1,397 จุด ลดลงจากเป้าเดิม 1,586 จุด หลังเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ปีนี้จะติดลบ 10% จากเดิมที่คาดว่าจะทรงตัว
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้สามารถซื้อลงทุนหุ้นได้หลายตัวมากขึ้นหลังจากมองว่าราคาหุ้นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยเฉพาะหุ้นที่มีการเติบโตดี และไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 มากนัก มองว่าหลังจากจบเรื่องไวรัสแล้วน่าจะฟื้นตัวได้เร็ว แนะนำสะสมกลุ่ม PTT, ADVANC, GULF, PTTEP ส่วนหุ้นที่ลงลึกในกลุ่มปิโตรเคมีก็ให้เลือกสะสมได้บางตัว อย่าง PTTGC, IVL เป็นต้น
แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลงไปมาก จากสงครามน้ำมันที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วก็น่าจะตกลงกัน โดยมองว่าสงครามน้ำมันระหว่างรัสเซีย และซาอุดีอาระเบียน่าจะคลี่คลายได้มากขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ขณะนี้ได้ปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 63 มาอยู่ที่ 1,390 จุด ภายใต้สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่คาดว่าจะจบในไตรมาส 2/63 คือสามารถควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสได้ คิดเป็น P/E 17.4 เท่า โดยปีนี้คาดว่า EPS จะมาอยู่ที่ 80 บาท/หุ้น คิดเป็น -11%
ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 น่าจะใกล้จุดพีคแล้ว โดยคาดจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/63 ดังนั้น Downside ของ SET ไม่น่าจะปรับตัวลงไปกว่านี้มากแล้ว จึงแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 1 ปีขึ้นไป สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงไม่มาก ก็ให้ลงทุนหุ้นที่มีหนี้สินน้อย เทรด P/E ratio ต่ำ เผื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสจะลากยาว จึงแนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มสื่อสาร อย่างหุ้น ADVANC, INTUCH และหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่แนะนำคือหุ้น EGCO, RATCH, BCPG เนื่องจากหนี้สินไม่มาก และธุรกิจก็ยังไปได้ดี
สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง แนะนำหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว และหุ้น AOT เนื่องจากราคาหุ้นลงมาลึกมาก เพียงแต่ช่วงนี้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง จึงควรจะเลือกลงทุนหุ้นที่ปลอดภัยก่อน
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน