SET สัปดาห์นี้ ‘Sideway-Sideway Down’ รับความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีนมากขึ้น
SET สัปดาห์นี้ ‘Sideway-Sideway Down’ รับความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีนมากขึ้น
Weekly outlook: “Sideway-Sideway Down” ต้าน 1317/1333จุด รับ 1283/1252จุด
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สัปดาห์นี้ (25-29 พ.ค.63) สัปดาห์นี้คาดตลาดหุ้นไทย ‘Sideway-Sideway Down’ โดยปัจจัยหลักที่กดดันจิตวิทยาการลงทุน คือ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากวุฒิสภาสหรัฐฯมีมติผ่านร่างกฎหมาย “Holding Foreign Companies Accountable Act” ซึ่งอาจทำให้บริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯเสี่ยงถูกถอดออกจากตลาด ประกอบกับจีนพยายามออกกฎหมายควบคุมการชุมนุมในฮ่องกง ซึ่งสหรัฐฯไม่เห็นด้วย และขู่จะตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามการค้าอีกระรอก
ล่าสุดค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง ค่าForward Point 12 เดือนถัดไป พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วสู่ +750 จุด เป็นระดับเดียวกับปัญหาการเมืองในฮ่องกง ปี 2015-2016 และ GFC 2008 สะท้อนตลาดประเมินความเสี่ยงการอ่อนค่าของค่าเงิน และปัญหาความเสี่ยงในฮ่องกงอยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยลบต่อ Risk Asset ในเอเชีย เช่นเดียวกันกับปัจจัยภายในที่ไม่สดใส การรายงานผลประกอบการ 1Q20 จาก 118 บริษัทที่มีคาดการณ์จาก Consensus รายงานก าไรสุทธิรวม 8.4 หมื่นลบ. ต่ำกว่าคาดถึง -25% (55 บริษัทต่ำกว่าคาด / 17บริษัท In-Line / 46 บริษัทดีกว่าคาด) แรงฉุดจากกลุ่มโรงกลั่น กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มอิงการบริโภค
ขณะที่แนวโน้ม 2Q20 ได้แรงกดดันจากการ Lockdown ทำให้แนวโน้มผลประกอบการบมจ.จะย่ำแย่กดดันภาพรวมการลงทุนในช่วงที่เหลือของ 2Q20 โดยล่าสุด Market EPS ของไทย ที่คาดการณ์โดย consensus ในปี 2020-2021 หดตัวลงต่อเนื่องสู่ 68บาท และ 84บาทต่อหุ้นแล้ว(vs CNS 66-61บาท และ78-74บาท ตามล าดับ) จะเป็นปัจจัยถ่วง Valuation ตลาดตึงตัวมากขึ้น ในสถานการณ์ที่ไร้ปัจจัยหนุนใหม่ๆ
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตาม 1) รายงานครึ่งปีของกระทรวงการคลังของสหรัฐฯที่คาดว่าน่าจะเผยแพร่ในสิ้นเดือนพ.ค. นี้ มีความเสี่ยงว่าไทยอาจถูกระบุเป็นกลุ่มประเทศ FX Manipulators ทำให้ไทยต้องมีการทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขปัญหาภายใน 1 ปี แต่ก็มีความเสี่ยงว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ปธน. Trump อาจจะดำเนินการเก็บภาษีนำเข้า
โดยใช้เหตุผลเพื่อความมั่นคงของชาติได้ ทำให้อาจจะเป็น downside เพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทย และ 2) MSCI Rebalance ไทยถูกลดน้ำหนักลงสู่ 2.36% จาก 2.39% คิดเป็นเม็ดเงินราว -56 ล้านเหรียญ โดยสำหรับ MSCI Thailand Index หุ้นที่ถูกนำเข้าคำนวณได้แก่ BAM(58 ล้านเหรียญฯ), AWC(46 ล้านเหรียญฯ), KTC(37 ล้านเหรียญฯ) และหุ้นที่ถูกเพิ่มน้ำหนัก ได้แก่ BTS, MTC, RATCH ราว 11-5 ล้านเหรียญฯต่อบริษัท
ส่วนหุ้นที่ถูกปรับลดน้ำหนัก คือ GULF, CPALL, PTT, EA, SCC ราว -33-10ล้านเหรียญฯ และหุ้นที่หลุดจากการคำนวณ คือ BANPU(-39ล้านเหรียญฯ) ทั้งหมดจะมีผลราคาปิด 29 พ.ค. นี้
กลยุทธ์การลงทุน: SET แกว่งใกล้ 1300 จุด เป็นระดับ PER สูงกว่า +1.5SD ซึ่งเป็น ซึ่งเป็น ระดับที่ค่อนข้างแพง และมีประเด็นหั่นคาดการณ์กำไรตลาดคอยถ่วง ขณะที่ปัจจัยหนุนใหม่ๆ ยังไม่มี จึงแนะนำลดพอร์ตลงทุนเชิง Tactical เหลือหุ้นเพียง 25% ส่วนพอร์ตเก็งกำไร กรณีหลุด 1300/1280จุด ให้กระชับพอร์ต
หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ ADVANC, BAM, BEM ส่วนสัปดาห์ก่อน BAM, BEM ให้ผลตอบแทน -0.38แย่กว่าดัชนีฯที่ให้ผลตอบแทน 1.81%
1) BAM(TP31) : MSCI เพิ่มน้ำหนักการลงทุน 58 ล้านเหรียญฯ ในวันที่ 29 พ.ค. นี้
2) BEM(Trad) : Unlockdown Phase 2 หนุนจำนวนผู้โดยสาร
3) ADVANC(TP237): ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง หนุน High Dividend Yield