อวดโฉม 40 หุ้น SET โชว์ผลงานไตรมาส 1/63 เทิร์นอะราวด์
อวดโฉม 40 หุ้น SET โชว์ผลงานไตรมาส 1/63 เทิร์นอะราวด์
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) ที่ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะกลุ่มหุ้น SET ที่พลิกมีกำไร (Turnaround ) แข็งแกร่งสวนวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และภาวะสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯที่กดดันการลงทุนทั่วโลก ซึ่งมีหุ้นทั้งหมด 40 ตัว โดยเรียงลำดับจากบริษัทพลิกมีกำไรมากสุดไปหาน้อยสุด และจะนำเสนอข้อมูลประกอบเพียง 5 อันดับของตารางประกอบดังนี้
โดยอันดับ 1 บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ 854.15 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 627.68 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิ ไตรมาส 1/63 พลิกมีกำไรสุทธิ 854 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 628 ล้านบาทในไตรมาส1/62 มากกว่าตลาดคาด 180% ผลประกอบการขยายตัวโดดเด่นจาก 1) รายได้จากยางธรรมชาติขยายตัว จากทั้งปริมาณและราคาขายที่ปรับตัวดีเพราะคู่แข่งหลายรายหยุดการดำเนินงานและการส่งออกที่ดีจากค่าเงินบาทอ่อน 2)ธุรกิจถุงมือยางเติบโตจากความต้องการเพื่อรับมือกับโควิด-19 3) gross margin ปรับขึ้นเป็น 16.4% จาก 8.8% ในไตรมาส4/62 และ 4.2% ในไตรมาส1/62 จากการบริหารต้นทุนวัตถุดิบที่ดีและจากธุรกิจถุงมือยางที่มีมาร์จิ้นสูง
ด้านบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปรับกำไรปี 63 ขึ้น 92% มาที่ 2.06 พันล้านบาท จากขาดทุนในปี 62 ที่ 149 ล้านบาท จากการปรับ gross margin ดีขึ้นมาอยู่ที่ 10% จากเดิมที่อยู่ 8.5% จากราคายางพารามีเสถียรภาพมากขึ้นส่งผลให้การบริหารต้นทุนและวัตถุดิบทำได้สะดวกขึ้นรวมถึงการเติบโตของถุงมือยาง โดย gross margin คาดว่าจะดีขึ้นแต่ไม่สูงเหมือน Q1/63 เพราะสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯ ระบุว่า ทาง IRIS ได้โทรถามฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของ STA แล้ว มีคำถามจาก FA 2 คำถามคือ 1.ผู้ถือหุ้น STA ได้สิทธิ์หุ้นจอง บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT ไหม ตอบ: ไม่มีสิทธิ์นักลงทุนต้องจองซื้อตามโบรกเกอร์ที่เป็นผู้ร่วมขาย ซึ่ง CNS ไม่ได้ร่วม
2.ช่วงเวลาการจองซื้อและเทรดหุ้น STGT ตอบ: จองซื้อราวกลางเดือนมิถุนายน (เลื่อนจากเดิมที่ต้นเดือนมิถุนายน เพราะมีการปรับประมาณการขึ้น)และคาด STGT เข้าเทรดวันแรกต้นเดือนกรกฏาคม
โดยทาง IRIS ยังมีความเห็นว่าราคาหุ้น STA เกินมูลค่าทางปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2563 ที่14.70 บาท และปี 2564 ที่15.0 บาท ต่ำกว่าราคาเป้าหมายของตลาดคาดเพราะเรามองมูลค่าของ STA แบบ conservative และเป็นการมองบนธุรกิจยางพาราที่ไม่ค่อยสดใส ส่วนราคาปัจจุบันของ STA ได้รวมมูลค่าแฝงของ STGT ไปแล้วซึ่งมองว่าเมื่อ STGT เข้าตลาด ความร้อนแรงของหุ้น STA จะลดลง
อันดับ 2 บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ 260.93 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 173.42 ล้านบาท
บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ทำสถิติสูงสุดของบริษัทฯ และมีรายได้ 3,023.7 ล้านบาท เติบโต 3,624.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 81.20 ล้านบาท
โดยสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นมาจากการเข้าตลาดทางอ้อม (Backdoor Listing) และการขยายตลาดสายไฟในต่างประเทศ รวมถึงการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสายไฟฟ้าในประเทศไทย
ทั้งนี้รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ยังมิได้รวมผลประกอบการของบริษัทสายไฟที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 2 บริษัท และบริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล (TCI) ที่ปิดดีลปลายเดือนมี.ค.และต้นเม.ย.ที่ผ่านมา
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 /63 ยังมีทิศทางที่เติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าดีกว่าไตรมาส 1 จากการรับรู้รายได้การซื้อกิจการสายไฟฟ้าเวียดนาม และ TCI รวมทั้งรับรู้รายได้มูลค่า 4,330 ล้านบาท ของบริษัท อดิสร ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ STARK ยังเดินหน้าซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อขยายธุรกิจของ STARK ให้แข็งแกร่ง โดยเล็งเห็นว่า ช่วงเศรษฐกิจในปัจจุบัน เป็นโอกาสของผู้ซื้อ สามารถเลือกซื้อของดี ราคาเหมาะสมได้มาก
อันดับ 3 บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ 235.08 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 43.35 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้จากการให้บริการไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 1,144.65 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 973.84 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทฯ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมและลงทุนในธุรกิจโรงแรมระดับนานาชาติ
อันดับ 4 บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ 197.61 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 32.99 ล้านบาท
บล.เคจีไอ ระบุว่า THCOM รายงานกำไรไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 198 ล้านบาท (Turnaround จากที่ขาดทุนในไตรมาส 1/62 และไตรมาส4/62) ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะขาดทุน -114 ล้านบาท
โดยการพลิกกลับมากำไรเป็นผลจากค่าใช้จ่าย Depreciation ที่ลดลง หลังจากที่มีการตั้งด้อยค่าไปจำนวนมากใน ไตรมาส4/62 ฝ่ายวิจัยฯจึงทำการปรับปรุงประมาณการฯปีนี้ใหม่เป็นคาดว่าจะกำไรเล็กน้อย +36 ล้านบาท (เดิมคาดจะขาดทุน -584 ล้านบาท) อย่างไรก็ดีแนวโน้มธุรกิจระยะยาวยังอ่อนแอ
อันดับ 5 บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ 188.66 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 61.30 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานพลิกมีกำไรเนื่องจากรายได้รวมเพิ่มขึ้น 17.2% จาก 134.96 ล้านบาทในไตรมาส 1/62 เป็น 158.15 ล้านบาทในไตรมาส 1/63 โดยส่วนของรายได้จากการให้บริการโครงข่ายมียอดเพิ่มข้น 27.6% จาก 34.45 ล้านบาท เป็น 43.96 ล้านบาท ขณะเดียวกันรายได้ของงานขายสินค้า งานบริการก่อสร้างสถานีฐานและติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 25.9% และ 12.3% ตามลำดับ
นายสมบุญ เศรษฐ์สันติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 63 มีแนวโน้มเติบโตที่ดี ทั้งงานก่อสร้างเสาและสถานีฐาน รวมถึงงานซ่อมบำรุง เพื่อรองรับเทคโนโลยี 5G แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ โดยบริษัทได้ลงนามในข้อตกลงไตรภาคีกับ edotco Group Sdn Bhd และบมจ.กสท.โทรคมนาคม (กสท) เพื่อสร้างและ/หรือร่วมลงทุนในเสาและสถานีฐานเพื่อรองรับโครงข่าย 5G
นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติเพิ่มเงินลงทุนในบริษัทลูก ซึ่ง ALT ถือหุ้น 100% คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกทย์ จำกัด (IG) จำนวน 100 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของการให้บริการรับส่งข้อมูล (Internet Bandwidth) ระหว่างประเทศ หลังจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนเข้าสู่ New Normal
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ได้ รายงานยอดขายในไตรมาส 1 ปี 2563 รวม 2.68 ล้านล้านบาทลดลง 4.3% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 98,524 ล้านบาท ลดลง 60.5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
โดยหมวดธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากสงครามราคาน้ำมัน ได้แก่หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ซึ่งหากไม่รวม 2 หมวดดังกล่าวจะมีกำไรสุทธิลดลงเพียง 25.2%
ส่วนหมวดธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี คือ หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ได้ผลบวกทั้งด้านยอดขายและอัตรากำไรที่สูงขึ้น เช่น อาหารสด และปศุสัตว์ รวมถึงเครื่องดื่มและหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ซึ่งเติบโตจากสินเชื่อส่วนบุคคลและหมวดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่ได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบลดลง
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน