โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” EP เป้า 5.10 บ. ลุ้นไตรมาส 2 ผลงานสดใส รับธุรกิจไฟฟ้า-บาทแข็งหนุน
โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” EP เป้า 5.10 บ. ลุ้นไตรมาส 2 ผลงานสดใส รับธุรกิจไฟฟ้า-บาทแข็งหนุน
บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 5.10 บาท เนื่องจากเตรียมย้ายเข้ากลุ่มพลังงาน (โรงไฟฟ้า) ขณะที่ให้มูลค่าหุ้นในแต่ธุรกิจประกอบด้วย ธุรกิจโรงพิมพ์ 0.34 บาทต่อหุ้น (PBV 0.15 เท่า), ธุรกิจกล่องลูกฟูก 0.28 บาทต่อหุ้น (PE 9 เท่า), และ ธุรกิจโรงไฟฟ้า 4.46 บาทต่อหุ้น (DCF)
ทั้งนี้ EP จะทำการย้ายหมวดอุตสาหกรรมฯจากหมวดสิ่งพิมพ์ไปยังหมวดพลังงาน คาดเป็นบวกต่อ Sentiment การลงทุน เนื่องจากการย้ายจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่แนวโน้มชะลอตัวไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโต ขณะที่ PE อาจถูก Re-rate ขึ้น เมื่อทำการพิจารณาเปรียบเทียบกับกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 คาดกำไรปกติทรงตัวจากไตรมาส 1/2563 แต่เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นราว 6% QTD ทำให้คาดว่ามีโอกาสที่จะกลับรายการผลขาดทุนฯ เป็นกำไร ในไตรมาส 2 ของปีนี้ (ทั้งนี้รายการดังกล่าวไม่กระทบต่อการประเมินมูลค่าเหมาะสม)
นอกจากนี้ รายงานระบุว่า ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (EP ถือหุ้น PPTC 49.5% / SSUT 40%) ที่มีลูกค้าในนิคมฯลาดกระบัง และ บางปู ตามลำดับ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ทำให้ดีมานด์การใช้ไฟฟ้าในไตรมาส 2/2563 ชะลอตัวลงจากงวดเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากผู้ใช้อุตสาหกรรมจะเป็นจำพวกการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศ อย่างไรก็ดีจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารล่าสุดปริมาณขายไฟฟ้าในเดือน มิถุนายน กลับสู่ระดับใกล้เคียงปกติแล้ว
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ ปรับสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนสิ้นปี 2563 เป็น 31.5 บาทต่อดอลลาร์ (เดิม 30 บาท/ดอลลาร์) ทำให้คาดว่าปี 2563 จะมีการบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 105 ล้านบาท กำไรสุทธิจึงปรับลดลงเป็น 207.6 ล้านบาท (ลดลง 34%) แต่ยังคงประมาณการฯกำไรปกติไว้ตามเดิม 313 ล้านบาท (คำนึงถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสฯในประมาณการแล้ว) นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าที่ประเทศเวียดนาม (เป็น Upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการ)
สำหรับแนวโน้มดีมานด์กล่องลูกฟูก และบรรจุภัณฑ์กระดาษในไตรมาส 2/2563 คาดจะชะลอตัวลงบ้าง แม้ว่าจะมีดีมานด์จากธุรกิจช้อปปิ้งออนไลน์ แต่กล่องบรรจุภัณฑ์สำหรับการส่งออกสินค้าลดลงโดยเฉพาะในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานของสายธุรกิจนี้จะชะลอตัวลงเล็กน้อยในไตรมาส 2/2563 ก่อนที่จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังของปีนี้
ขณะที่ส่วนต่างราคาขายกล่องลูกฟูกเฉลี่ยกับราคาต้นทุนกระดาษคราฟท์ล่าสุดเดือนมกราคม ถึงเมษายน ยังทรงตัวในเกณฑ์สูงใกล้เคียงไตรมาส 4/2562 แสดงถึงดีมานด์ที่ยังแข็งแกร่ง
ด้าน นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ EP เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 104.96 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 20.42 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อน 24.15% ทั้งนี้ไม่รวมผลการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับงวด ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของบริษัทร่วม จำนวน 122.16 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 427.44 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 37.49% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2563 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบของโรคไวรัสโควิด-19ได้อย่างแน่นอน โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,103.73 ล้านบาท เนื่องจาก มีรายได้ที่แน่นอนจากธุรกิจโรงไฟฟ้า และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเชื่อว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตสูงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต