โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” TASCO เป้าสูง 29 บ. จับตาผลงาน Q2 พลิกกำไร 500 ลบ.
โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” TASCO เป้าสูง 29 บ. จับตาผลงาน Q2 พลิกกำไร 500 ลบ.
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับหุ้นบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่อง 4 วันติดต่อกัน
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TASCO ให้ราคาเป้าหมายสำหรับปี 64 ที่ 29 บาท โดยมองแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 พลิกเป็นกำไรปกติ 505 ล้านบาท จากปริมาณขายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนที่ฟื้นตัว และราคาขายที่ปรับขึ้นสูงกว่า 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพราะ Supply ยางมะตอยตึงตัวเนื่องจากโรงกลั่นลดการผลิตลง
นอกจากนี้ยังคาดมีกำไรจากสต็อกราว 1 พันล้านบาทในไตรมาส 2/63 เพราะราคายางมะตอยสิ้นไตรมาส 1/63 อยู่ที่ 170 เหรียญสหรัฐ/ตัน เทียบกับปัจจุบันที่ 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่งผลให้ TASCO อาจมีกำไรสุทธิถึง 1.5 พันล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มความต้องการยางมะตอยจะฟื้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 63 แม้ต้นทุนน้ำมันดิบขยับขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำและบริษัทซื้อล่วงหน้าไว้แล้ว อย่างไรก็ตามกำไรปีนี้ถูกฉุดด้วยผลขาดทุนในไตรมาส 1/63 แต่คาดกำไรกลับมาปกติปี 64 ที่ 2.8 พันล้านบาท คิดเป็น P/E เพียง 13.8 เท่า
ด้านนักวิคราะห์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “BUY” ราคาเป้าหมาย 28 บาท/หุ้น โดยมองว่า ในช่วงไตรมาส 2/63 จะฟื้นตัวมีกำไรที่เด่นและสูงถึง 1,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน หลังขาดทุน 784 ล้านบาทในไตรมาสก่อน แรงหนุนราคายางมะตอยที่พุ่งสูงขึ้นแรง
ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลังจะเด่นต่อเนื่องจากราคายางมะตอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากซัพพลายยางมะตอยตึงตัว ตลาดหลัก คือ จีน และ ไทย กลับมาฟื้นตัวดี ในระยะยาวจะได้ประโยชน์จาก ต้นทุนน้ำมันดิบที่ต่ำ
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่รอจังหวะในช่วงอ่อนตัวหลังจากที่เมื่อวานหุ้นขึ้นมาแรง 5.5% พร้อมเปลี่ยนไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2564 ได้เท่ากับ 28 บาท เพิ่มจากเดิม 20 บาท จากประมาณการที่ปรับขึ้น และและบนฐาน 10 ปี Forward P/E+1SD = 14 เท่า ตามดัชนีกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และแนวโน้มที่ดีในอนาคต
ส่วนบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสฯ ระบุคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TASCO ในราคาเป้าหมาย 28 บาท/หุ้น โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 แข็งแกร่ง หนุนโดย 1) สเปรดที่กว้างขึ้นเนื่องจากราคายางมะตอยขยับขึ้นเพราะอุปทานน้อยลงหลังโรงกลั่นลดการผลิต/ปิดชั่วคราวช่วงราคาน้ำมันตกต่ำ
โดยราคายางมะตอยเพิ่มจาก 170 US$/ตันเมื่อ 31 ม.ค.63 เป็น 315 US$/ตัน ในปัจจุบัน และผู้บริหารคาดว่าจะปรับขึ้นต่ออีก 20% ทั้งในประเทศและต่างประเทศ, 2) อุปสงค์เพิ่มขึ้นทั้งในไทยและจีน, 3) มีวัตถุดิบในการผลิตเพียงพอ และ 4) มีกำไรจากสต็อก (NRV gain) ทั้งนี้ในไตรมาส 1/63 มี NRV loss 2.16 พันล้านบาท
ด้านผลประกอบการปี 63F-64F เติบโตได้ดี โดยคาดการณ์ Core EPS ไว้ที่ +17% และ +27% ตามลำดับ ทั้งนี้บริษัทมีจุดเด่นที่ครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศสูงที่สุด (40%) รวมทั้งมีโรงกลั่นและเรือขนส่งเป็นของตัวเอง
ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายทางพื้นฐานเป็น 28 บาท โดยเลื่อนไปอิงกับ P/E ปี 64F ที่ 18.1 เท่า ซึ่งเป็นระดับเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี