คัด 10 หุ้น SET100 ครึ่งปีแรก พุ่งกระฉูดสวนโควิด! STA นำทีมโกยรีเทิร์นเกิน 100%
คัด 10 หุ้น SET100 ครึ่งปีแรก พุ่งกระฉูดสวนโควิด! STA นำทีมโกยรีเทิร์นเกิน 100%
ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ช่วงครึ่งปีแรก2563 แกว่งตัวผันผวนมากถึง 630 จุด หรือกว่า 40% โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,604 จุด เมื่อวันที่ 3 ม.ค.63 ก่อนปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ 969 จุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 นอกจากนี้ ยังได้เห็นการประกาศใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึง 3 ครั้งในเดือน มี.ค.หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเพราะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
จากภาวะดังกล่าวทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นพื้นฐานแกร่งจนราคาปรับลงแรงเกินพื้นฐานหลายตัว ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET100 ในช่วงครึ่งปีแรก 2563 มานำเสนอเพื่อให้เห็นทิศทางและเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งที่ปรับตัวลงแรงเกินพื้นฐาน โดยเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62-30 มิ.ย.63 ตามตารารางประกอบดังนี้
ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลกลุ่ม SET100 ในช่วงครึ่งปีแรกได้คัดเลือกหุ้น 10 อันดับแรกของกลุ่มที่ปรับตัวสวนภาวะตลาดหุ้นติดลบและวิกฤติโควิด-19 ระบาดหนักมานำเสนอโดยครั้งนี้จะนำเสนอข้อมูลประกอบเพียง 5 อันดับแรกตามตารารางประกอบดังนี้
โดยอันดับ 1 คือ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 172.50% จากระดับ 10.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 27.25 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 .
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจถุงมือยาง มีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจถุงมือยางเนื่องจากจะได้ประโยชน์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นมากทั่วโลกจากผลกระทบ COVID-19 ซึ่งยังมีต่อเนื่อง เพราะภาวะการระบาดยังคงรุนแรงทั้งในสหรัฐฯ บราซิล รัสเซีย และอินเดีย รวมถึงหลายประเทศในเอเชียและยุโรปที่มี second wave กลับมาระบาดอีกครั้ง
คาดว่าความต้องการจะมีมากขึ้นในไตรมาส 2/63 จากสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงกว่าไตรมาส1/63 และยังคงรุนแรงต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2563 คาดว่าจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจถุงมือยางปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 2.35 พันล้านบาท จากกำไรของ STGT ที่ 4.2 พันล้านบาท ขณะที่ธุรกิจยางธรรมชาติมีการตกลงราคาขายไว้ ประกอบกับบริษัทมีการบริหารต้นทุนที่ดี รวมถึงกลุ่มลูกค้าในจีนเริ่มมีการฟื้นตัวและกลับมาเดินการผลิต
ปรับกำไรสุทธิปี 2563 เพิ่มขึ้น 30% อยู่ที่ 3.85 พันล้านบาท ปรับประมาณการกำไรสุทธิของ STA ในปี 2563 เพิ่มขึ้น 30%อยู่ที่ 3.85 พันล้านบาท บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตั้งราคาขายถุงมือยางใหม่ในช่วง 2H20 จากเดิมที่ปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ +5% MoM เป็นปรับเพิ่มขึ้นครั้งเดียวในช่วง ไตรมาส3/63 ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยของ ไตรมาส 3/63 และ 4Q20 ซึ่งคาดว่าราคาใน ไตรมาส3/63 จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 30%-45% เทียบไตรมาสก่อนหน้า
โดยคาดว่าราคาขายเฉลี่ยปี 2563 อยู่ที่ 0.80 บาท/ชิ้น (+33% YoY) เป็นผลจาก demand ถุงมือยางที่สูงขึ้นก้าวกระโดดจาก COVID-19 รวมถึงการปรับเพิ่มการผลิตถุงมือยางไนไตรล์เพิ่มขึ้นเป็น 40-45% ของกำลังการผลิต
ขณะที่ในไตรมาส1/63 มีสัดส่วน 30% เนื่องจากความต้องการถุงมือยางไนไตรล์ที่เพิ่มสูงขึ้นรวมถึงต้นทุนของยางสังเคราะห์ยังอยู่ในระดับต่ำทำให้ประเมินว่า gross profit margin ของธุรกิจถุงมือยางจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากเดิม 22.5%
ขณะที่ธุรกิจยางพารา ราคายางพารามีเสถียรภาพมากขึ้นส่งผลให้การบริหารต้นทุนและวัตถุดิบทำได้ราบรื่นขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจยางธรรมชาติบางส่วนออกจากตลาดไป ทำให้การแข่งขันรวมถึงการแย่งซื้อวัตถุดิบลดลงมากในปีนี้ ส่งผลให้ gross profit margin ของ STAจะดีขึ้นมาอยู่ที่ 11.7% ในปี 2563 จากเดิมที่ 8.1% ในปี 2019
ราคาเป้าหมายที่ 35.00 บาท อิง PER ที่ 14x เทียบเท่า ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 27.00 บาท จากการปรับกำไรขึ้นข้างต้น โดยมี key catalyst คือ ภาวะ COVID-19 ที่ยังยืดเยื้อรุนแรงในต่างประเทศ ขณะที่ความเสี่ยงคือ ความล่าช้าของการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ เช่นรถยนต์จาก COVID-19
อันดับ 2 บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 102.27% จากระดับ 66.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 133.50 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาด
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด ระบุว่า TQM รายงานกำไรไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 179 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) ซึ่งสูงกว่าที่คาด 11% ขณะเดียวกัน คาดว่า TQM จะรายงานกำไรสุทธิเติบโตราว 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สำหรับทั้งไตรมาส 2/2563 และ 3/2563 เนื่องจากยอดขายกรมธรรม์ประกันภัยที่ปรับตัวสูงขึ้น หนุนรายได้ทั้งค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียมบริการให้ขยายตัวเพิ่มต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ยังคงประมาณการกำไรปี 2563 ที่ 706 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 39%) ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เปิดโอกาสให้บริษัทเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ประกันด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 นับตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 เป็นต้นไป นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะซื้อกิจการโบรกเกอร์เพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เพื่อเพิ่มยอดขาย (ยังไม่รวมในประมาณการ) จากแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งสำหรับในช่วงที่เหลือของปี ยังคงคำแนะนำซื้อสำหรับ TQM
อันดับ 3 บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 89.77% จากระดับ 4.40 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 8.35 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63
บล.ดีบีเอสฯ ระบุว่า เป้าหมายยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในเกณฑ์ดีเช่นเคย มีการผลิตที่อินโดนีเซีย และที่เวียดนามจะเริ่มได้ราวไตรมาส 3/63 นี้แล้ว
แนวโน้มธุรกิจมีความสดใสและเป็นไปตามแผน แม้ไตรมาส 2/63 มีแนวโน้มว่ากำไรจะอ่อนลงบ้าง เพราะได้รับผลลบจากโรคโควิด-19 แต่ระยะกลาง-ยาว พื้นฐานยังแข็งแกร่งคือ 1) เป็นผู้นำตลาดส่วนผสมอาหารที่ยากจะเลียนแบบ 2) อัตราการเติบโตกำไรที่เพิ่มขึ้นดี 3) ฐานะการเงินแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ 4) ทีมผู้บริหารมีความสามารถสูง และ 5) ประสิทธิภาพการทำกำไรสูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม
คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 9.50 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF (WACC 8%, TG 2.5%) หลังแนะนำ ซื้อ ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสูงกว่าราคาพื้นฐาน จึงอาจรอจังหวะทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัว แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็สมควรมี ส่วนเพิ่ม (Premium) จากราคาพื้นฐาน ด้วยจุดแกร่งที่กล่าวไว้ข้างต้น
อันดับ 4 บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 67.86% จากระดับ 0.56 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 0.94 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นจากแรงหนุนแผนธุรกิจที่โดดเด่น อีกทั้งเป็นหุ้นขนาดเล็กทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อในช่วงที่ผ่านมา
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า รายได้และกำไรในปี 2563 มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 2562 ที่ผ่านมาและในอีก 3 ปีข้างหน้า 2564-2566 หากสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามแผนงานที่วางไว้ จะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผลประกอบการของ SUPER ขยายตัวขึ้นอย่างโดดเด่น
อันดับ 5 บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 43.27% จากระดับ 26.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 37.25 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 เนื่องจากแผนงานโดดเด่นและผลงานสดใสต่อเนื่อง
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า MEGA (เป้าเชิงกลยุทธ์ 40 บาท) – Covid-19 ทำให้คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ยังคาดว่า ราคาหุ้นมีโอกาสสูงขึ้นได้ บริษัทฯนี้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวิตามินและอาหารเสริม โดยการระบาดของ Covid-19 ทำให้คนสนใจสุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้ 50-60% ของรายได้มาจากการขายวิตามินและอาหารเสริม
โดยคาดกำไรสุทธิปี 2563ที่ 1,260 ล้านบาท (+11% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และ 2021E ที่ 1,386 ล้านบาท (+10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) หากสถานการณ์ COVID-19 ยังยืดเยื้อ จะเป็น upside ต่อประมาณการ
ด้าน นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังของปี 63 จะยังคงผันผวนสูงจาก 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้าออกไป หรือต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 2. ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้น
3.ในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่บริษัทต่าง ๆ จะผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ สิ้นสุดลง และ 4. ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield)
สำหรับธีมหุ้นเด่นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง คือ กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยจากโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงต่ำหากเกิดการแพร่ระบาดระลอกสอง รวมทั้งมีความปลอดภัยจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ดังนั้น 6 หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง คือ BAM, CBG, CK, CPALL, SCC และ TRUE ส่วนหุ้นเด่นเดือนนี้ แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการสัญจรที่ฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์ เปิดเทอม การกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ คือ BEM และ PTG และหุ้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/63 ออกมาดี มีเงินปันผลระหว่างกาล แนะนำ CBG, DCC, SCC และ TVO เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำเดือนนี้ คือ BEM, CBG, DCC, PTG, SCC และ TVO
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน