ลุ้น JMT โกยกำไรไตรมาส 2 ทะลุ 200 ลบ. ทำออลไทม์ไฮ! ครึ่งปีหลังฉายแววโตต่อ รับ NPL พุ่ง
ลุ้น JMT โกยกำไรไตรมาส 2 ทะลุ 200 ลบ. ทำออลไทม์ไฮ! ครึ่งปีหลังฉายแววโตต่อ รับ NPL พุ่ง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT หลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดยปิดตลาดวานนี้ (20 ก.ค.) อยู่ที่ 28.75 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 5.50% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 527.24 ล้านบาท โดยยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 31.50 บาท อยู่ 10%
โดย นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ คาดผลการดำเนินงานของ JMT ในไตรมาสที่ 2 มีโอกาสทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือ All time high สวนทางตลาดหุ้นไทย โดยจะมีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากช่วยเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจบริหารหนี้ที่เติบโตดี มียอดเงินสดเรียกเก็บที่โตกว่า 810 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจเก็บหนี้ยังทำได้ใกล้เคียงไตรมาสก่อนที่ 95 ล้านบาท รวมทั้งธุรกิจบริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะพลิกมีกำไรจากไตรมาสก่อน จากกำไรเงินลงทุนและรายได้กรมธรรม์
ทั้งนี้ JMT มีความพร้อมที่จะซื้อหนี้เพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงปรับเป้ากำไรปีหน้าเพิ่มขึ้น 33% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่า NPL จะไหลเข้าสู่ระบบอีกมาก ถือเป็นโอกาสของ JMT ที่จะซื้อหนี้เพิ่ม 4,500 ล้านบาทต่อปี มากกว่าที่เคยประเมินไว้เดิม สนับสนุนให้ยอดเก็บเงินสดปีหน้าเพิ่มเป็น 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน และกองหนี้ที่ตัดต้นทุนหมด หนุนอัตรากำไรสุทธิขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยแนะนำ “ซื้อ” JMT ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมเป็น 31.50 บาท
ส่วน นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” JMT ประเมินราคาเป้าหมาย 30 บาท/หุ้น คาดกำไรไตรมาส 2/63 ยังแข็งแกร่งที่ 205 ล้านบาท เติบโต 38% เมื่อเทียบจากปีก่อน คาดรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน แม้ในช่วงที่ COVID-19 ระบาดหนักอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ในช่วง Lock down ทำให้อัตราสำเร็จในการติดต่อลูกหนี้เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามคาดรายได้จากลูกหนี้ที่รับซื้อลดลงเล็กน้อยราว 2% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยผลกระทบจากช่วง COVID-19 และการช่วยเหลือลูกหนี้ทำให้กระแสเงินสดรับลดลงบ้าง แต่ในแง่ของรายได้ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากรับรู้รายได้ตามเกณฑ์คงค้าง (EIR) อย่างไรก็ตามรายได้ที่ลดลงเป็นผลกระทบมาจากหนี้บางกองที่ใกล้ตัดต้นทุนหมดในไตรมาสนี้ ทำให้รับรู้รายได้น้อยลง
ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรสำหรับปี 2563 ที่ 850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยมองช่วงที่เหลือของปีผลประกอบการจะยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังอาจมีการตัดต้นทุนหนี้บางกองครบ ซึ่งจะทำให้กำไรปรับเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดใหม่อีกครั้ง
นอกจากนี้ NPL ในระบบที่อาจเพิ่มสูงขึ้นมากจะเป็นปัจจัยบวกต่อการซื้อหนี้ของบริษัท โดยบริษัทตั้งเป้าจะใช้เงินลงทุนราว 4.5-5 พันล้านบาท และ 4 เดือนแรกของปีนี้ซื้อหนี้มาคิดเป็นมูลหนี้รวมราว 1 หมื่นล้านบาทแล้ว (ยังไม่ทราบเงินลงทุน) ซึ่งฐานหนี้ที่เพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่เร่งตัวจะเป็นปัจจัยบวกต่อรายได้และกำไรของบริษัทในระยะถัดไป ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้นราว 10% โดยปรับสมมติฐานเงินลงทุนซื้อหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.5-5 พันล้านบาท สำหรับปีนี้เป็นต้นไป (เดิม 3.5-4 พันล้านบาท)
ด้าน นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินราคาเป้าหมาย JMT ปี 2564 ที่ 29.25 บาท/หุ้น มองภาพอุตสาหกรรมยังเป็นบวกจากโอกาสประมูลหนี้ NPL สูง ประเมินกำไรไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบจากปีก่อน แม้ว่าผล COVID-19 กระทบการเก็บหนี้บางส่วนแต่ค่อนข้างจำกัดเนื่องจากลูกหนี้ 90% เป็นพนักงานประจำ แต่ภาพกำไรทั้งปี 2563 คาดเพิ่มขึ้น 21% และต่อเนื่องในปี 2564 เพิ่มขึ้น 22% จากพอร์ตหนี้ NPL ยังขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่ TISCO และ KTC ผลประกอบการไตรมาส 2/63 มี NPL เพิ่มอย่างมีนัยยะ มองภาพอุตสาหกรรมยังเป็นขาขึ้น จากแนวโน้มหนี้ NPL ยังเป็นระดับสูง และเป็นโอกาสซื้อของดี ราคาสมเหตุสมผล ขณะที่กำไรไตรมาส 2/63 ถึงไตรมาส 4/63 ยังเด่นต่อเนื่อง