โบรกฯอัพเป้า STGT แตะ 100 บ. ขานรับยอดขาย “ถุงมือยาง” ดันกำไรไตรมาส 2 โตสนั่น 4 เท่าตัว
โบรกฯอัพเป้า STGT แตะ 100 บ. ขานรับยอดขาย “ถุงมือยาง” ดันกำไรไตรมาส 2 โตสนั่น 4 เท่าตัว
นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ระดับ 100 บาท จากเดิม 85 บาท
ทั้งนี้ ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ที่ระดับ 903 ล้านบาท (+404% จากปีก่อน, +114% จากไตรมาสก่อน) โดยเป็นการเติบโตจาก 1) ปริมาณการขายถุงมือยางเพิ่มขึ้นเป็น 7,700 ล้านชิ้น (+24% จากไตรมาสก่อน), 2) ราคาขายเฉลี่ยที่ 0.69 บาท/ชิ้น (+15% จากไตรมาสก่อน) และ 3) gross profit margin จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 21.0% (ไตรมาส 1/63 = 18.8%, ไตรมาส 2/61 = 13.9%) อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/63 จะออกมาสูงกว่าที่คาด หากราคาขายเฉลี่ยสูงกว่าที่ประเมินไว้
ทั้งนี้ยังคงประมาณการณ์กำไรสุทธิปี 2563 ที่ 4,200 ล้านบาท (+565% จากปีก่อน) โดยคาดว่ากำไรในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเติบโตมากจาก 1) ราคาขายถุงมือยางในไตรมาส 3/63 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 40% อยู่ที่ 0.95 บาท/ชิ้น และจะทรงตัวไปถึงสิ้นปี, 2) utilization rate อยู่ที่ระดับสูงที่ 95%, และ 3) gross profit margin ที่สูงกว่า 25%
ด้านราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นและ outperform SET +28% ในช่วง 1 เดือน จากการระบาดของ COVID-19 ยังมีผู้ติดเชื้อต่อเนื่องทะลุ 18 ล้านคน ทำให้ความต้องการถุงมือยางสูงกว่าที่คาดไว้ จึงทำให้มีโอกาสที่จะปรับประมาณการขึ้น ซึ่งปัจจุบันเทรด PER 2563 ที่ 28.7 เท่า (+1SD above 5-yr average PER ของ peer) และยังต่ำกว่า peer ที่เทรดที่ 50 เท่า (ประมาณ +5SD above 5-yr average PER)
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นจะยังคง outperform จาก outlook ที่ยังดีต่อ และปัจจุบัน STGT เทรดที่ PER 2563 ที่ 28.7 เท่า (+1SD above 5-yr average PER ของ peer) และยังต่ำกว่า peer ที่เทรดที่ 50 เท่า (สูงกว่า +2SD above 5-yr average PER) โดยฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563/64 และราคาเป้าหมายหลังประกาศงบไตรมาส 2/63
ทั้งนี้ เราประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 ที่ 903 ล้านบาท (+404% จากปีก่อน, +114% จากไตรมาสก่อน) จากปริมาณการขายถุงมือยางได้ 7,700 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น +24% จากไตรมาสก่อน (จากไตรมาส 1/63 ที่ขายได้ 6,200 ล้านชิ้น) และราคาขายเฉลี่ยที่ 0.69 บาท/ชิ้น เพิ่มขึ้น +15% จากไตรมาสก่อน (จากราคาขายเฉลี่ยไตรมาส 1/63 ที่ 0.60 บาท/ชิ้น)
โดยเป็นปรับราคาเพิ่มขึ้นเดือนละ +5% เทียบกับเดือนก่อน จากความต้องการสูงของถุงมือยาง ในขณะที่ gross profit margin จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 21.0% (เทียบกับไตรมาส 1/63 = 18.8%, และไตรมาส 2/62 = 13.9%) อย่างไรก็ตามหากราคาขายเฉลี่ยสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ มีโอกาสที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/63 จะออกมาสูงกว่าที่คาด
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยคงกำไรสุทธิปี 2563 โต +565% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคงกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 4,200 ล้านบาท (+565% จากปีก่อน) โดยคาดว่ากำไรในในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเติบโตมากจาก 1) ราคาขายถุงมือยางในไตรมาส 3/63 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 40% อยู่ที่ 0.95 บาท/ชิ้น และจะทรงตัวไปถึงสิ้นปี, 2) การปรับสัดส่วนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ให้มากขึ้นเป็น 40%-45% ของกำลังการผลิต จากไตรมาส 1/63 ที่ 30% (Fig.4) เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนของยางสังเคราะห์อยู่ในระดับต่ำ (Fig.5-6)
ทั้งนี้ จะส่งผลให้ ปี 2563 STGT จะมี 1) utilization rate อยู่ที่ระดับ 95%, 2) ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 0.80 บาท/ชิ้น (+33% จากไตรมาสก่อน) และ 3) gross profit margin อยู่ที่ 25% และเรายังคงสมมติฐานค่าเงินบาทอยู่ที่ 32 บาท/เหรียญสหรัฐฯ
สำหรับปี 2564 ฝ่ายวิจัยยังคงกำไรสุทธิที่ 4,550 ล้านบาท (+8% จากปีก่อน) โดยคาดว่าราคาขายเฉลี่ยปี 2564 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 0.85 บาท/ชิ้น (+6% จากปีก่อน) และประเมินว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาระดับ gross profit margin ได้เทียบเท่าปี 2563 ที่ระดับ 25% และยังคงอยู่บนสมมติฐานค่าเงินบาทอยู่ที่ 32 บาท/เหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 100 บาท จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 85.00 บาท โดย re-rate targeted PER ขึ้นเป็น 34 เท่า เทียบเท่า +2SD above 5-yr average PER ของ peer (4 ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย) จากเดิมที่อิง PER 2563 ที่ 29 เท่า (เทียบเท่า +1SD 5-yr average PER ของ peer)
โดยมองว่าจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ส่งผลให้วัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2562 ส่งผลให้กำไรปี 2563 จะเติบโตโดดเด่น +565% จากปีก่อน ทำให้มองว่า STGT ควรเทรดที่ระดับ +2SD above 5-yr average PER ของ peer ในขณะที่ หุ้นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซียปัจจุบันเทรดที่มากกว่า +5SD above 5-yr average PER