6 หุ้นพลิกวิกฤตเป็นโอกาส!

เผยชื่อ 9 หุ้นโชว์ผลประกอบการ Q2 โตก้าวกระโดด กำไรเพิ่มขึ้นเกิน 5 เท่าตัว กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับนักลงทุนในช่วงเหตุการณ์บ้านเมืองที่ไม่สงบ พร้อมพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการทำกำไรในระยะสั้นทันที


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) และ SET โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากหุ้นที่มีผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 58 กำไรเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเกิน 500% แม้จะเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้กับนักลงทุนที่วิตกกับเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้

 

เริ่มที่หุ้นตัวแรก บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 1.32 พันล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.855 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 77,207% หรือราว 700 เท่าตัว จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.70 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.001 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 2.44 พันล้านบาท หรือ 1.589 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 857% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 255.35 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.167 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจาก บริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์ยางมะตอยเพิ่มขึ้นจากความต้องการของตลาดส่งออกปรับขึ้นอย่างมาก

ด้าน บล.เอเซีย พลัส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น TASCO วานนี้ (19 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 25.50 บาท ปรับตัวขึ้น 1.20 บาท หรือ 4.94% สูงสุดที่ 25.75 บาท ต่ำสุดที่ 24.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 517.32 ล้านบาท

 

อันดับที่ 2 บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 129.47 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.1173 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1765% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.94 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0067 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 239.71 ล้านบาท หรือ 0.2188 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1254% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.70 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0172 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจาก บริษัทมีรายได้อื่นๆ ในงบการเงินรวมเพิ่มขึ้น 424.90% เป็นการเพิ่มขึ้นจากผลประกอบการของบริษัทแม่ 52.14 ล้านบาท จากบริษัทย่อยในประเทศ 10.61 ล้านบาท และบริษัทย่อยในต่างประเทศ 45.43 ล้านบาท

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น GL วานนี้ (19 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 15.50 บาท ปรับตัวลง 0.20 บาท หรือ 1.27% สูงสุดที่ 16.10 บาท ต่ำสุดที่ 15.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 77.98 ล้านบาท

 

อันดับที่ 3 บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 23.59 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.041 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1,568.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 60.68 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 47.26 ล้านบาท หรือ 0.083 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 653.39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.27 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.016 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานดังกล่าวที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจาก บริษัทมีรายได้จากการขาย และบริการในกรุงเทพฯ รวมถึงต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

อย่างไรก็ตาม SPA เป็นหนึ่งในหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ระเบิดเมื่อวันที่ 17 ส.ค.58 เนื่องจากธุรกิจของบริษัทเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวเป็นหลัก การที่นักท่องเที่ยววิตกเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้าใช้บริการลดน้อยลง

ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 9.60 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น SPA วานนี้ (19 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 8.40 บาท ปรับตัวขึ้น 0.15 บาท หรือ 1.82% สูงสุดที่ 8.40 บาท ต่ำสุดที่ 8.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 22.05 ล้านบาท

 

อันดับที่ 4 บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 113.39 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.27 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 901% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.33 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.03 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 102.98 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.25 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1049% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 8.96 ล้านบาท หรือมีกำไรต่อสุทธิ  0.02 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจาก บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโทรทัศน์เพิ่มขึ้น รวมถึงไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงไฮซีซั่นของการใช้โฆษณา ส่งผลให้บริษัทสามารถขายโฆษณาได้มากขึ้น

ด้าน บล.เคเคเทรด แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 47 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น WORK วานนี้ (19 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 40 บาท ปรับตัวขึ้น 1 บาท หรือ 2.56% สูงสุดที่ 40 บาท ต่ำสุดที่ 38.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 23.45 ล้านบาท

 

อันดับที่ 5 บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 226.08 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0229 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 708% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.98 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0029 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 221.53 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0256 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 271% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59.71 ล้านบาท หรือมีกำไรต่อสุทธิ 0.0062 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่มีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้ค่าเช่า ค่าบริการ และค่าสาธารณูปโภคของบริษัทเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการเติบโตของพื้นที่ให้เช่าและบริการจากการที่บริษัท และบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ ได้พัฒนาคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานเพื่อให้เช่าอย่างต่อเนื่อง

ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 4.08 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น WHA วานนี้ (19 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 3.66 บาท ปรับตัวขึ้น 0.04 บาท หรือ 1.10% สูงสุดที่ 3.70 บาท ต่ำสุดที่ 3.62 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 72.02 ล้านบาท

 

อันดับที่ 6 บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 58 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.58 มีกำไรสุทธิ 381.98 ล้านบาท หรือมีกำไรต่อสุทธิ 0.19 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 639.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 51.68 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.04 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 830.36 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 0.44 บาท เพิ่มขึ้น 3,193.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ  26.84 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจาก บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น889.37ล้านบาท อีกทั้งรายได้จากการขายที่ดินและอาคารโรงงานเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2,359.55 ล้านบาท

ด้าน บล.ธนชาต แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท

ขณะที่ราคาหุ้น ROJNA  วานนี้ (19 ส.ค.) ปิดที่ระดับ 6.25 บาท ปรับตัวขึ้น 0.15 บาท หรือ 2.46% เป็นระดับสูงสุด ต่ำสุดที่ 6.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.07 ล้านบาท

 

*อนึ่ง ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button