โบรกฯ แนะ “ซื้อ” SABINA ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังฟื้น รับขายออนไลน์เพิ่ม-ค่าใช้จ่ายลด
โบรกฯ แนะ "ซื้อ" SABINA ลุ้นผลงานครึ่งปีหลังฟื้น รับขายออนไลน์เพิ่ม-ค่าใช้จ่ายลด
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SABINA ประเมินราคาเป้าหมายที่ 22.40 บาทต่อหุ้น เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ SABINA ถูกปิดช่องทางการขายหลักที่เป็นสาขาตามห้างสรรพสินค้า ส่งผลให้ยอดขายหายไป แต่ก็ได้พลิกกลยุทธ์หันมาขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้สัดส่วนยอดขายช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นในช่วงโควิด ซึ่งปัจจุบันยอดขายงช่องทาง Retail ก็เริ่มกลับมาแล้ว ดังนั้นหากไม่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 ก็เชื่อว่าผลการดำเนินงานของ SABINA ในช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาดีกว่าครึ่งปีแรก
นอกจากนี้ ในช่วงโควิดทาง SABINA ได้ช่วยเหลือสังคมด้วยการหันมาผลิตหน้ากากผ้าอนามัย ทำให้โรงพยาบาลและสถานที่ที่ต้องการจากผู้ที่มาจ้างให้ผลิต ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้ SABINA ก็ยังมีรายได้ OEM เข้ามาด้วย สามารถไปชดเชยรายได้ OEM จากต่างประเทศที่หายไปในช่วงโควิดได้บางส่วน อย่างไรก็ดี ในครึ่งปีหลังเริ่มเห็นลูกค้าทางฝั่งยุโรปและอังกฤษกลับมาแล้ว ขณะที่หน้ากากผ้าอนามัยก็ยังคงผลิตอยู่
นิกจากนี้ SABINA ยังมีแผนจะปิด 10 สาขาที่เป็นพื้นที่ไม่ค่อยจะสร้างยอดขายให้ด้วย ซึ่งการปิดสาขาก็เป็นการตอบโจทย์ของการหันไปขายออนไลน์ พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 63 ไว้ที่ 303 ล้านบาท ลดลงกว่า 20% จากปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 413 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
ส่วน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SABINA ประเมินราคาเป้าหมายที่ 24.30 บาทต่อหุ้น โดยในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนทำให้ต้องมีการปิดเมือง (Lockdown) SABINA บริหารจัดการทั้งด้านการผลิตและการขายได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้แนวโน้มกำไรสุทธิปีนี้มีโอกาสดีกว่าคาดการณ์ เนื่องจากปัจจุบันยอดขายกลับมาฟื้นตัวแล้ว 90% ของระดับปกติ ซึ่งบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่หายไป เนื่องจากมีสัดส่วนยอดขายในกลุ่มนักท่องเที่ยวเพียง 3% เท่านั้น
ขณะที่การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ยังมีการเติบโตในระดับสูงด้วย โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จะออนไลน์จะเพิ่มเป็น 15% จากปีก่อน 10% และคาดว่าใน 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 25-30%
ส่วนสินค้า OEM ส่งออกให้กับลูกค้าในอังกฤษและฝรั่งเศสจะกลับมาส่งออกในเดือน ก.ย.-ธ.ค.63 ซึ่งเลื่อนมาจากช่วงไตรมาส 2/63 อีกทั้งมีรายได้จากการรับจ้างผลิตหน้ากากผ้า ทำให้รายได้จาก OEM โดยรวมปีนี้ยังทรงตัวใกล้เคียงกับปีก่อนได้
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรในช่วงไตรมาส 3/63 จะกลับมาฟื้นตัว แม้ยังลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 4/63 ทิศทางกำไรมีโอกาสที่จะสูงขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากบริษัทได้กลับมาเริ่มผลิตในช่วงปลายเดือน พ.ค. ในขณะเดียวกันได้ลดจำนวนพนักงานลงเกือบ 400 คน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายลดลงกว่า 30 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 3/63 รวมไปถึงการออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย