โบรกฯอัพคำแนะนำ “ซื้อ” BAM เป้าใหม่ 25 บ. มองผลงานครึ่งปีหลังแกร่ง!
โบรกฯอัพคำแนะนำ “ซื้อ” BAM เป้าใหม่ 25 บ. มองผลงานครึ่งปีหลังแกร่ง!
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” หุ้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 25.00 บาท จากเดิม 22.00 บาท โดยเรา rollover ราคาเป้าหมายไปเป็นปี 2564 แต่ยังคงอิง PBV เดิมที่ 2.0 เท่า (Average PBV)
ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการประชุมนักวิเคราะห์จากกรณี 1) ผลการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 แล้ว, 2) ผลการดำเนินงานจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 3/63 จากสถานการณ์กรมบังคับคดีที่ดีขึ้น, ยอดขาย NPA ที่ดีขึ้นภายหลังการออกบูธจำหน่ายได้ และมีเสียงตอบรับที่ดี และคาดว่าจะต่อเนื่องไปไตรมาส 4/63 จากลูกหนี้ที่ขอรับการช่วยเหลือกลับมาชำระได้ตามสัญญาในเดือน ก.ย.
และ 3) บริษัทคงเป้าการซื้อหนี้เสียปี 2563 ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท และต่อเนื่องไปปี 2564 (คิดเป็นอัตราการขยายตัวในระยะยาวที่ +5-7%) จาก NPLs ในระบบที่สูง ทั้งนี้คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2563/64 ที่ 2.32 และ 4.67 พันล้านบาท (-65% จากปีก่อน/ +101% จากปีก่อน) และยังไม่ได้รวมรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นจากการรับรู้ DTA ไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท จากทั้งหมด 4.9 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ด้านราคาหุ้นปรับตัวลง และ underperform SET -9% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ที่ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด
อย่างไรก็ตามจากผลการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และแนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ และต่อเนื่องไปปี 2564 หนุนโดยการซื้อ NPLs/NPA เข้ามาบริหารที่ต้นทุนถูกลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และ NPLs ในอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงแนะนำ “ซื้อ”
ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-64 ที่ 2.32 และ 4.67 พันล้านบาท (-65% จากปีก่อน / +101% จากปีก่อน) โดยประเมินว่าบริษัทมีความสามารถในการเข้าซื้อหนี้มาบริหารปี 2563-64 ที่ 1.0 และ 1.15 หมื่นล้านบาท จาก NPLs ในระบบที่ยังสูง โดยประเมินว่าสถาบันการเงินจะทยอยขายหนี้เสียจาก COVID-19 ออกมาในช่วงต้นปี 2564 ภายหลังการสิ้นสุดระยะช่วยเหลือ 6 เดือน (เม.ย.-ก.ย. 2563) นอกจากนี้ประเมินว่าบริษัทมีแหล่งเงินทุน และสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง (D/E ratio ที่ 2.2-2.3x ต่ำกว่า covenant ที่ 2.5x) ซึ่งเพียงพอต่อการเข้าซื้อ NPLs มาบริหารเพิ่มขึ้นในอนาคต
ด้านผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปีนี้ คาดจะขยายตัว +78% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 1) สถานการณ์กรมบังคับคดีที่ดีขึ้น, 2) ยอดขาย NPA ที่ดีขึ้นภายหลังการออกบูธจำหน่ายได้ และมีเสียงตอบรับที่ดี, 3) ลูกหนี้ที่ขอรับการช่วยเหลือกลับมาชำระได้ตามสัญญาในเดือน ก.ย. และ 4) รับรู้รายได้จาก DTA ไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท จากทั้งหมด 5.0 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ (ยังไม่รวมในประมาณการกำไรสุทธิปี 2563)