โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” STGT เป้า 116 บ.มองกำไรปี 63 แตะ 5.7 พันลบ. อานิสงส์ยอดขาย “ถุงมือยาง”
โบรกฯเชียร์ "ซื้อ" STGT เป้า 116 บ.มองกำไรปี 63 แตะ 5.7 พันลบ. อานิสงส์ยอดขาย "ถุงมือยาง"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ราคาเป้าหมาย 116 บาท/หุ้น อิง PER ปี 2563 ที่ 29 เท่า เทียบเท่า +1SD above 5-yr average PER ของ peer (4 ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย)
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกจากจัด SET Opportunity Day เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 63 จาก 1) lead time ในการส่งมอบปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า เป็นผลจาก Demand ของถุงมือยางที่ยังคงขยายตัว, 2) คาด margin ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังสามารถทำ record high จากการปรับราคาขายถุงมือยางเพิ่มขึ้น +70% จากไตรมาสก่อน เป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ทำไว้ และไตรมาส 4/63 ปรับเพิ่มอีก 10% จากไตรมาสก่อน ทั้งนี้คงกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 5,747 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 806% จากปีก่อน) และคงกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 6,132 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีก่อน)
โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงและ underperform SET -2% ในช่วง 2 เดือน จากข่าวความคืบหน้าการผลิตวัคซีน แต่อย่างไรก็ตามคาดว่า outlook ยังคงดีต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2563 และถึงแม้มีความคืบหน้าเรื่องวัคซีนแต่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ความต้องการถุงมือยางยังคงเป็นที่ต้องการถึงสิ้นปี 2563 และปัจจุบัน STGT เทรดที่ PER ปี 2563 ที่ 17.3 เท่า (-1SD below 5-yr average PER ของ peer)
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองปัจจัยบวกของ STGT ดังนี้ 1) ทิศทางราคาถุงมือยาง ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก Demand ของถุงมือยางที่ยังคงขยายตัว ขณะที่กำลังการผลิตทั่วโลกยังคงมีจำกัด ทำให้ฝั่งผู้ผลิตยังคงได้เปรียบในช่วง 1-2 ปีนี้ สังเกตได้จาก lead time ในการส่งมอบปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า จากสภาวะปกติก่อนเกิดโรคระบาด COVID-19
2) คาดไตรมาส 3-4/63 ยังสามารถเห็นการเติบโตของ margin จากราคาถุงมือยางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาขายในไตรมาส 3/63 ที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.12 บาท/ชิ้น (เพิ่มขึ้น 70% จากไตรมาสก่อน) (Fig.1) ซึ่งยังคงเป็นไปตามสมมติฐานของเรา
3) แม้จะมีข่าววัคซีนออกมา แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากลูกค้าไม่ยกเลิก order และยังคงจองไลน์การผลิตเต็มไปถึงปลายปี 2565 ซึ่ง backlog ที่บริษัทมีคิดเป็น 88-90% ของกำลังการผลิต
4) ไม่มีความกังวลในเรื่องของน้ำยางสังเคราะห์ & น้ำยางข้น เนื่องจากบริษัทมี partner ที่ทำธุรกิจด้วยกันมายาวนานกว่า 10 ปี อีกทั้งบริษัทยังเป็นผู้เล่นรายใหญ่ของประเทศ ทำให้ความกังวลดังกล่าวตกไปอยู่กับผู้เล่นหน้าใหม่ ที่ไม่อาจสามารถหาน้ำยางสังเคราะห์ได้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยคงกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 5,747 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 806% จากปีดก่อน) โดยคาดราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางปี 2563 อยู่ที่ 0.90 บาท/ชิ้น และ GPM อยู่ที่ 29% ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ยังมีแนวโน้มการเติบโตจากราคาขายถุงมือยาง +70% จากไตรมาสก่อนจาก Demand ของถุงมือยางที่ยังคงขยายตัว
พร้อมกันนี้ยังคงกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 6,132 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.7% จากปีก่อน) โดยคาดราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางปี 2564 อยู่ที่ 0.90 บาท/ชิ้น เนื่องจากคาดวัคซีน COVID-19 สามารถใช้ได้ในปี 2564 และคาดจะทำให้ราคาขายถุงมือยางจะปรับตัวลดลงจากราคาขายในช่วงไตรมาส 4/63
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเป้าหมายที่ 116.00 อิง PER ปี 2563 ที่ 29 เท่า เทียบเท่า +1SD above 5-yr average PER ของ peer (4 ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย) ขณะที่ความเสี่ยง คือความคืบหน้าการเริ่มใช้วัคซีนแม้ว่ายังมีความไม่แน่นนอนสูง แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในอนาคต ทำให้มองว่า STGT ควรเทรดที่ระดับ +1SD above 5-yr average PER ของ peer