บิ๊กแพคเกจจิ้ง SCGP เทรดวันแรกลุ้นวิ่งเกิน 41 บ. จับตา 5 ปีรายได้โตเท่าตัว

บิ๊กแพคเกจจิ้ง SCGP เทรดวันแรกลุ้นวิ่งเกิน 41 บ. จับตา 5 ปีรายได้โตเท่าตัว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ต.ค.) หุ้นสามัญของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจ บรรจุภัณฑ์ เป็นวันแรก โดยมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับ ตลท. และจำนวนหุ้นชำระแล้ว 4,253,550,000 หุ้น ราคาพาร์ 1.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นทุนจดทะเบียน 4,253,550,000 บาท

ทั้งนี้ SCGP เสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน  1,127,550,000 หุ้น จัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 958,419,335 หุ้น ผู้ถือหุ้นเดิมของบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (Pre-Emptive right) จำนวน 169,130,665 หุ้น ราคาเสนอขาย IPO 35.00 บาท ระหว่างวันที่ 28 ก.ย.-14 ต.ค.63 ขณะที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินซึ่งยืมจากบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) จำนวน 169,130,000 หุ้น

สำหรับ SCGP เป็นบริษัทประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) เพื่อให้บริการโซลูชั่นด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร โดยแบ่งออกเป็น 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Intergrated Packaging Chain) และ 2) สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (Fibrous Chain) โดยมีบริษัท สยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด เป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักซึ่งก่อให้เกิดกำไรหลัก

โดย นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันพรุ่งนี้ (22 ต.ค.)  ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ชื่อย่อ SCGP ในการซื้อขายหลักทรัพย์ คาดว่าด้วยศักยภาพของบริษัทที่เป็นผู้นำธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน จะสร้างความเชื่อมั่นและได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่ต้องการร่วมเติบโตไปพร้อมกับบริษัท

ทั้งนี้ หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SCGP จะนำเงินจากการระดมทุนมาใช้ขยายธุรกิจ ชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยวางแผนขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคง พร้อมกันนี้ได้วางโมเดลธุรกิจ Packaging Solutions ที่แตกต่างเพื่อตอบสนองความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์แก่ลูกค้า ตลอดจนรักษาตำแหน่งผู้นำธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน

ต้องขอขอบคุณนักลงทุนที่เชื่อมั่นใน SCGP โดยเราวางกลยุทธ์ที่จะเติบโตในภูมิภาคอาเซียนต่อไปอย่างมั่นคงพร้อมทั้งวางแผนสื่อสารสร้างแบรนด์ SCGP ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันมีฐานลูกค้ากระจายตัวในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และมีบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย ทำให้บรรจุภัณฑ์ของ SCGP กลายเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ทุก ๆ วันของผู้บริโภค (Packaging in Everyday Life)”นายวิชาญ กล่าว

ส่วนนางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ SCGP ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินแก่ SCGP รองรับขยายธุรกิจต่อไป จึงเชื่อว่าหลังจากเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันแรก จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยคาดว่า SCGP จะเข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์ที่คำนวณดัชนี SET50 ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

สำหรับ SCGP เป็นบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างและมีผลิตภัณฑ์รวมถึงบริการอย่างครบวงจร ในช่วงที่ผ่านมาจึงสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน รวมถึงมีจุดเด่นที่น่าสนใจ เช่น เป็นผู้นำธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่จะได้รับแรงเสริมจากการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค บรรจุภัณฑ์ที่มีการออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภค  สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในยุค New Normal ได้อย่างดี นอกจากนี้ SCGP ยังดำเนินธุรกิจโดยยึดหลัก ESG หรือการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นแนวคิดของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ด้าน นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า คาดว่า SCGP จะเป็นหุ้นที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่โดดเด่น โดยเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจมากว่า 40 ปี มีการพัฒนาโมเดลธุรกิจและขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีสินค้าที่ครอบคลุมทั้งบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์จากพอลิเมอร์ มีฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย มีการนำเสนอโซลูชันที่สามารถตอบโจทย์การออกแบบบรรจุภัณฑ์ตามความต้องการเฉพาะแต่ละราย รวมถึงดำเนินธุรกิจโดยใส่ใจการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อความยั่งยืน

ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินราคาเหมาะสมหุ้น SCGP ปี 2564 ที่ 41 บาท/หุ้น เทียบเท่า PER ปี 2564 ที่ 21.75 เท่า โดยมีจุดเด่นคือ อัตรากำไรและการเติบโตที่สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมมาก รวมถึงข้อได้เปรียบจากเครือข่ายการตลาดที่มีอยู่ทั่วภูมิภาคอาเซียนจากการเป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรม

สำหรับ SCGP นั้นเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC โดยให้บริการโซลูชั่นด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์สูงถึง 4 ล้านตัน/ปี และบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูก 1.1 ล้านตัน/ปี สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้ครอบคลุมครบวงจร รวมถึงมีแหล่งจัดหาวัตถุดิบได้เองโดยตรงช่วง 5 ปีที่ผ่านมา SCGP มีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยปีละ 14.6%

ทั้งนี้กำไรที่เติบโตต่อเนื่องเกิดจากการขยายกำลังการผลิตซึ่งมีทั้งรูปแบบของการเข้าซื้อกิจการและการลงทุนแบบ BrownField การระดมทุน IPO ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ใช้ในการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนที่ยังมีศักยภาพการเติบโตได้อีกมาก โดยตั้งเป้าหมายจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีก 1 เท่าตัวจากปัจจุบันภายในปี 2568

ส่วน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมิน Market Cap เหมาะสมของ SCGP ผ่านประมาณการ SCC ของบล.โนมูระ พัฒนสิน อยู่ที่ราว 1.7 แสนล้านบาท หรือราว 38.4 บาท/หุ้น (ยังไม่รวม upside จากการขยายกำลังการผลิต ประเมินราว 5.8 บาท/หุ้น)

Back to top button