จับตา STA-TRUBB-NER ผลงานแกร่ง รับราคายางพุ่ง ท้ายปีทะลุ 80 บาท!
จับตา STA-TRUBB-NER ผลงานแกร่ง รับราคายางพุ่ง ท้ายปีทะลุ 80 บาท!
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายยางพารา เนื่องจากปัจจุบันราคายางปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด 26 ตุลาคม 2563 ราคายางแผ่นลมควันชั้น 3 อยู่ที่ระดับ 72.50 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าในช่วงท้ายปีราคายางจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะระดับ 80 บาทต่อกิโลกรัม
โดยก่อนหน้านี้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ปรับตัวขึ้นแรง และคาดการว่าจะมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ผลักดันให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเน้นการบริหารความต้องการใช้ยางให้สอดรับกับปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาด
ประกอบกับกระแสความต้องการใช้ยางของโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น ในประเทศจีนที่เป็นผู้ยางรายใหญ่ของโลก ออกนโยบายกระตุ้นการอุปโภคบริโภค โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ในประเทศจีนปรับเพิ่มขึ้นกว่า 13% คิดเป็นจำนวนรถยนต์ประมาณ 2.57 ล้านคัน
โดยประเด็นดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกแก่ผู้ผลิต และส่งออกยางอย่าง บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB และ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เนื่องจากราคายางที่ปรับตัวขึ้นจะส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นตาม
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ในรายสินค้า ส่งออกสินค้าที่ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 (การทำงานที่บ้าน และการแพทย์) เติบโตดีในเดือนนี้ ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ยาง (+21.2% นำโดยถุงมือยาง +154.9%) อิเล็กทรอนิกส์ (+11.6%) และเครื่องใช้ไฟฟ้า(+8.3%)
ด้าน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด มองว่าแนวโน้มธุรกิจถุงมือยางจะยังคงแข็งแกร่งต่อไปในปีหน้า ทั้งนี้ จากรายงานของบริษัทและสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางของประเทศมาเลเซีย (Malaysian Rubber Glove Manufacturers Association — MARGMA) ประมาณการว่าความต้องการถุงมือยางทั่วโลกในปี 2563 จะเพิ่มขึ้นเป็น 360 พันล้านชิ้นต่อปี จาก 150 พันล้านชิ้นต่อปีในปี 2553 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีที่ระดับ 9% ความต้องการถุงมือยางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งทวีปยุโรป และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
สำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลทำให้ความต้องการถุงมือยางธรรมชาติทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ยอดขายถุงมือยางของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 เติบโตสูงขึ้นถึง 45.6% หรือคิดเป็น 1.37 หมื่นล้านชิ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทมียอดคำสั่งซื้อสำหรับการผลิตถุงมือยางล้นไปจนถึงกลางปี 2565 ในการนี้ บริษัทวางแผนจะขยายกำลังการผลิตถุงมือยาง ให้เป็น 3.57 หมื่นล้านชิ้นในปี 2564 และ 4.58 หมื่นล้านชิ้นในปี 2565 จาก 3.26 หมื่นล้านชิ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2563
ขณะที่ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เป็นระดับ “A-” จากเดิมที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” ทั้งนี้ การเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นจากการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2563 รวมถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจยางธรรมชาติ ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันจากการเป็นผู้ประกอบการยางธรรมชาติตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงผลิตภัณฑ์ขั้นต้นของปลายน้ำ (Vertical Integration) และประวัติผลงานที่ดีของคณะผู้บริหาร ทว่า ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะความเป็นวงจรและผันผวนของราคายางธรรมชาติ รวมทั้งความท้าทายต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอและไม่แน่นอนเป็นอย่างมากในขณะนี้
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน