ลุ้น IPO ป้ายแดง SFT เทรดวันแรกยืนเหนือจอง 3.80 บ.

ลุ้น IPO ป้ายแดง SFT เทรดวันแรกยืนเหนือจอง 3.80 บ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 ต.ค. ) หุ้นสามัญของบริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SFT จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กำหนดวันที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และเริ่มทำการซื้อขาย 29 ต.ค.63 มีจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนกับตลท. และหุ้นชำระแล้ว 440 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นทุนชำระแล้ว 220 ล้านบาท โดยบริษัทเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 3.80 บาท

สำหรับ SFT ดำเนินธุรกิจ 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูป สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามระบบการพิมพ์ ได้แก่ ระบบการพิมพ์กราเวียร์ และระบบการพิมพ์ดิจิตอล 2.ผลิตภัณฑ์อื่น ได้แก่ แม่พิมพ์ (Printing Cylinder) และฟิล์มยืด (Stretch Film) ทั้งนี้นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า mai ยินดีต้อนรับ บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย)  ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ SFT เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai  วันที่ 29 ต.ค.นี้

ด้าน นายซุง ชง ทอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ SFT เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ของผู้บริหารในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปกว่า 12 ปี SFT มีทีมงานที่มีความมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนในโรงงานผลิตแห่งใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตในตลาดฟิล์มหดรัดรูปเดิมและรองรับตลาดใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ทั้งนี้ SFT มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายซุง ชง ทอย ถือหุ้น 47.27% และกลุ่มปิยะตรึงส์ ถือหุ้น 25.45% บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท

ส่วน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SFT ผลิตและจำหน่ายฟิล์มหดรัดรูปซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี การแข่งขันไม่รุนแรง โดยมีลูกค้าหลักอยู่ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มซึ่งเติบโตแข็งแกรง โดยเฉพาะกลุ่ม Functional Drink ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ทำให้ SFT ได้อานิสงส์เชิงบวกจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่วนแผนการลงทุนโรงงานแห่งใหม่ซึ่งจะแล้วเสร็จต้นปี 2565 จะช่วยหนุนการเติบโตระยะยาวปลดล้อค Utilization Rate ที่คาดว่าใกล้เต็มในปี 2564

ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิปี 2563-2565 เติบโตเฉลี่ย 26.3% CAGR จากทั้งรายได้ที่โตแข็งแรงและ Margin ที่ปรับขึ้นและทรงตัวในระดับสูง พร้อมประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 5 บาท อนึ่ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย

Back to top button