ลุ้น WGE ลงเทรดวันแรกยืนเหนือ 3 บ. จับตากำไรปี 64 โตกระโดด
ลุ้น WGE ลงเทรดวันแรกยืนเหนือ 3 บ. จับตากำไรปี 64 โตกระโดด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 พ.ย.) บริษัท เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ WGE เข้าซื้อขายใน SET ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจ บริการรับเหมาก่อสร้าง กำหนดวันที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและเริ่มทำการซื้อขาย วันที่ 3 พ.ย.63 มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. และหุ้นชำระแล้ว 600 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ WGE เป็นผู้ให้บริการรับเหมาก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างประเภทต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น คอนโดมิเนียมแนวราบและแนวสูง โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน ได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น จัดสรรให้กับประชาชนทั่วไป 155 ล้านหุ้น และกรรมการ ผู้บริหาร หรือพนักงานของบริษัทหรือบริษัทย่อย (ESOP) จำนวน 5 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 2.30 บาท
โดย ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของ บริษัท เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ WGE มั่นใจว่าเมื่อหุ้นเข้าซื้อขายในวันนี้ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก เนื่องจากช่วงที่เปิดเสนอขายหุ้นนั้นมีปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นมาก เนื่องจากกระแสความต้องการหุ้น WGE มีมากกว่าจำนวนที่จัดสรรหลายเท่าตัว
“จากความต้องการที่ล้นหลามครั้งนี้ นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ WGE แล้ว อีกประเด็นสำคัญน่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดราคาขายที่ 2.30 บาท/หุ้น มีส่วนลดจากราคาเหมาะสมที่โบรกเกอร์ประเมินเอาไว้อยู่ในช่วง 3.30-3.93 บาท จึงถือเป็นระดับราคาขายที่จูงใจอย่างมาก” ดร.วีรพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
ด้าน นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ของ WGE เชื่อว่า WGE จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่มีลูกค้ากระจายอยู่ในหลายอุตสาหกรรม จึงทำให้มีความคล่องตัวในการทำงานสูงมาก รวมทั้งมีการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนได้ดี
ขณะเดียวกันมีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากมีทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญยาวนานกว่า 10 ปี ที่สำคัญคือภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ ดังนั้นจึงทำให้มีโอกาสที่จะได้รับงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงงานโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ทั้งรายได้และกำไรในอนาคตเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ส่วน นายเกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม ประธานกรรมการบริหาร WGE กล่าวว่าความโดดเด่นของ WGE คือทีมงานซึ่งล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีไฟในการทำงานอย่างยิ่ง พร้อมที่จะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต ณ ครึ่งปีแรกนี้บริษัทฯ มีงานในมือรอรับรู้รายได้(backlog) อยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาท และปัจจุบันยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงครึ่งปีหลังมีงานที่จะเข้าร่วมประมูลอีกราว 4-5 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตได้ในระยะยาว
ทั้งนี้เมื่อหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนที่จองซื้อหุ้น เนื่องจากที่ผ่านมากระแสตอบรับจากการโรดโชว์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มีนักลงทุนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันเมื่อเปิดให้จองซื้อหุ้นก็มีความต้องการเกินกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขาย ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่ออนาคตของบริษัทฯ และเชื่อว่า จะมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างของไทย
“การเข้าจดทะเบียนในSET จะช่วยให้บริษัทฯมีฐานทุนเพิ่มขึ้น สามารถรับงานได้มากขึ้น และได้รับการยอมรับจากลูกค้าทำให้ขยายช่องทางในการรับงานที่มีความหลากหลายมากขึ้น ขณะที่มีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ทำให้ความสามารถในการสร้างรายได้ และกำไรสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ” นายเกรียงศักดิ์กล่าว
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์หุ้น WGE โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมอยู่ที่ 3.93 บาท อิง Target PE ปี 2564 ที่ระดับ 12.9 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของบริษัทที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท และคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2564 ที่ระดับ 0.30 บาท
สำหรับจุดเด่นของ WGE มีฝ่ายบริหารและทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 10 ปี และนำระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) มาใช้ในการบริหารจัดการงาน ควบคุมต้นทุน และติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างอีกทั้งสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนของลุกค้าทั้งภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด และความสามารถในการบริหารจัดการของบริษัท
โดยคาดว่าในปี 2563-2564 กำไรสุทธิเติบโตราว 27% ต่อปี ผลักดันโดยสมมติฐาน ยอดขายที่เติบโตปีละ 25% ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณงานในมือที่มีอยู่และโอกาสในการเข้าประมูลงานใหม่ทั้งงานภาคเอกชน และงานภาครัฐ ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ 7.6%, 4.2% และ 4.0% ในช่วงปี 2563-2565 เมื่อเทียบกับ 5.5% ในปี 2562 ในปี 2564-2565 อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงเนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้ ขณะที่เงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ บริษัทฯมีแผนนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ, ขยายคลังสินค้า และซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับใช้ในงานก่อสร้าง
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า WGE เป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงมาประมาณ 10 ปี ด้านให้บริการรับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะในด้านอาคารให้แก่ลูกค้า ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่ง IPOในครั้งนี้ เพื่อระดมทุนเพื่อรองรับการขยายการรับงานก่อสร้างใหม่พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยเครื่องจักรใหม่ที่ทันสมัย จุดเด่นหลักของบริษัทฯอยู่ที่แนวโน้ม ผลประกอบการที่จะกลับมาเติบโตสูงในปี 2564 ซึ่งประเมินมูลค่าพื้นฐานเท่ากับ 3.55 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการจะพลิกเติบโตสูงในปี 2564 โดยคาดว่าจะกลับมาเติบโตเกือบเท่าตัว จากปัจจัยบวกการรับงานใหม่โดยเฉพาะงานอาคารของหน่วยงานราชการ
ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมิน ราคาเหมาะสมของหุ้น WGE อยู่ที่ 3.30 บาทต่อหุ้น ซึ่งอิง PER 16 เท่า และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.21 บาท โดยมองว่าบริษัทฯเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรับเหมาขนาดเล็กที่น่าจับตามองจากการที่มีโอกาสในการรับงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นและจากองค์กรขนาดใหญ่มากขึ้น ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 มี backlog ที่ราว 1.7 พันล้านบาท หลังจากระดมทุนมีแผนเข้าประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ และมุ่งเน้นงานภาครัฐมากขึ้น แม้จะประเมินกำไรสุทธิปี 2563 ปรับตัวลง 46% จากงวดเดียวปีก่อน แต่ทิศทางดังกล่าวเป็นไปตามอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง
โดยประเมินกำไรสุทธิจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2564 เพิ่มขึ้น 98% อยู่ที่ 124 ล้านบาท จากงานในมือที่จะแตะระดับสูงถึง 3.6 พันล้านบาท หนุนโดยทิศทางโครงการใหม่ที่คาดจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ถึงปี 2564 และโอกาสการรับงานขนาดใหญ่มากขึ้น